จะรีบไปไหน...จะรีบไปไหน...รอโหลดซักกะเดี๋ยวนะตะเอง...


PlayListนี้ เริ่มต้นด้วย "เล่าเรื่อง ตาดูดาวเท้าติดดิน" เรียงลำดับตั้งแต่ ตอนแรก ถึง ตอนปัจจุบัน ..ท้ายเพลย์ลิสท์เป็นคลิป "เมื่อศาลรัฐธรรมนูญกระทำขัดรัฐธรรมนูญ : จะทำอย่างไร?" วันพุธที่ 1 พฤษภาคม 2556 เวลา 13.00 - 16.00 น. ห้องกมลทิพย์ ชั้น 2 โรงแรมสุโกศล (สยามซิตี้เดิม) คลิปนี้..วิทยากร รศ.ดร.วรเจตน์ ภาคีรัตน์ คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ แสดงความคิดเห็นเริ่มนาที 0:14:24
คลิกที่นี่ ดูบนyoutube...
หรือคลิกที่นี่.. @ AsiaUpdate "เล่าเรื่อง ตาดูดาวเท้าติดดิน"

คลิกที่นี่ ดูบนyoutube...

คลิกที่นี่ ดูบนyoutube...

คลิกที่นี่ ดูบนyoutube...

วันพุธที่ 28 ธันวาคม พ.ศ. 2554

10 เมื่อผมไปอเมริกาครั้งแรกเมื่อเดือน มกราคมปี 1972.....ผมมีเงินติดตัวไป $80.00

@ 4 ข้อเสนอนิติราษฎร์ "ลบล้างผลพวงรัฐประหาร 19 กันยา"
@ 027 Pictures...Bangkok Underwater 26 October 2011
@ 029 ชมภาพชุด! นายกฯปูลงเรือเยี่ยมประชาชนเขตดอนเมืองที่ถูกน้ำท่วมขัง...และภาพสวยๆจากสื่อมะกัน
@ ชมภาพสวยๆทั้ง 3 ชุด บาหลี-ต้อนรับฮิลลารี-บันคีมูนที่ทำเนียบฯ
@ ภาพชุดนายกฯยิ่งลักษณ์เยี่ยมเยือน บรูไน, อินโดนีเซีย, กัมพูชา, ลาว, เมียนมาร์ ชุดที่1
@ ภาพชุดนายกฯยิ่งลักษณ์เยี่ยมเยือน เวียดนาม ชุดที่2
@ ภาพชุดนายกฯยิ่งลักษณ์เยี่ยมเยือน สิงคโปร์ ชุดที่3
@ ภาพชุดนายกฯยิ่งลักษณ์เยี่ยมเยือน อินเดีย ชุดที่4
@ ภาพชุดนายกฯยิ่งลักษณ์เยี่ยมเยือน ฟิลิปปินส์ ชุดที่5
@ ภาพชุดนายกฯยิ่งลักษณ์ร่วมประชุมที่สวิสเซอร์แลนด์ ชุดที่6
@ ภาพชุดนายกฯยิ่งลักษณ์เยี่ยมเยือน มาเลเซีย ชุดที่7
@ ภาพชุดนายกฯยิ่งลักษณ์สวมชุดนักบินเหินฟ้าชมการใช้กำลังทางอากาศ
@ ภาพชุดนายกฯยิ่งลักษณ์เยี่ยมเยือนกองทัพไทย
@ ภาพชุดงานสโมสรสันนิบาต วันเฉลิมพระชนมพรรษา 5ธ.ค.2554
@ ชมภาพชุด&Clip...งานแต่งน้องเอม12ธ.ค.54
@ 81 ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร...‘ดรัมเมเยอร์-ไทยแลนด์แบนด์’
@ 82 ชีวิตหมอที่ไม่ได้ไปอเมริกา By: kimeng suk
@ เข้าครัว...ทำกับข้าวคลายเครียด!! ผมทำได้ คุณก็ทำได้ครับ
@ 54... "นายกฯปู" สวมชุดนักบินเหินฟ้าชมการใช้กำลังทางอากาศ
@ คลิปที่ทุกคนควรจะต้องดู ใครตกข่าว เชิญเข้ามาได้เลยค่ะ
@ สถานีรถไฟจีน แล้วลองย้อนมาดูเรา...
@ เรื่อง... ม.๑๑๒ ม.112 ม.๑๑๒ ม.112 ม.๑๑๒ ม.112
@ สนทนากับทักษิณ "ผู้ต้องสงสัย" แห่งประเทศไทย Conversations with Thaksin, Thailand's prime suspect
@ "วรเจตน์" ฝ่าศึกสหบาทา: ร้องว่าผมเนรคุณ แต่คุณยืนให้สูงเพื่อบอกว่าจงรักภักดี โดยเหยียบหัวผมขึ้นไป
@ 82 ต้องรู้..ต้องรู้...ภาระหน้าที่"เมษายน"ทุกๆปี นะจ๊ะ!!
@ 55... มาร์คครับ หยุดใช้วาทกรรมแก้รัฐธรรมนูญทำให้สังคมเกิดความขัดแย้งเลยครับ
@ สุดยอดไปเล้ย ก้อคุณพี่ทิศใต้นะสิคะ บอกไม่กลับบ้านก็ได้ทุกวันนี้สบายดี

คลิกที่ภาพ...เพื่อดูขนาดที่ใหญ่ขึ้น @ โหลดเก็บไว้ในcomเชิญคลิกที่นี่...

< < UpDate ถึงตอนที่ 7 & Comment > >



หมายเหตุ: ขอขอบคุณและขออนุญาตคุณ akausa นำข้อเขียนของท่านมาลงไว้เว็บนี้นะครับ


เมื่อผมไปอเมริกาครั้งแรกเมื่อเดือน มกราคมปี 1972.....ผมมีเงินติดตัวไป $80.00
By: akausa เว็บประชาทอล์ค (เริ่มตอนแรก 26 ธ.ค.2554)

ตอนที่ 1...เมื่อผมไปอเมริกาครั้งแรกเมื่อเดือน มกราคมปี 1972.....ผมมีเงินติดตัวไป $80.00

ไปได้ยังไงหรือ...โดยการช่วยเหลือของพี่สาวผมที่เป็นพยาบาลที่ไปทำงานอยู่ที่นั่น หลังจากที่พี่สาวผมไปอยู่สัก 4-5 ปีเห็นจะได้วันหนึ่งพี่สาวผมถามว่าอยากไปอยู่อเมริกาไหม...ก็แปลกเหมือนกันนะมีพี่น้องตั้งหลายคนไม่ถาม มาถามผมซึ่งเป็นคนเกือบสุดท้อง....คงจะเห็นแววว่าไอ้นี่มันคงเอาตัวรอดได้แน่....55555

ผมรีบตอบ Yes โดยไม่ต้องคิดเลย..สมัยนั้นใครได้ไปอยู่อเมริกาโก้หยอกเสียเมื่อไหร่....ขนาดอยู่เชียงใหม่ได้ไปเรียนที่กรุงเทพฯ ยังโก้เลย...55555

เมื่อตอบ Yes ไปแล้วสิ่งที่ตามมาก็คือพี่สาวส่ง I 20 (แบบฟอร์มตอบรับการให้เข้าเรียนของโรงเรียนที่โน่นเพื่อประกอบการขอวีซ่า) เมื่อได้วีซ่าเรียบร้อยแล้วสิ่งสำคัญที่ตามมาก็คือเงินค่าเครื่องบินค่าซื้อเสื้อผ้าใหม่บ้างและ เหลือ Pocket Money 80 เหรียญติดตัวไปอย่างที่ผมบอกนั่นแหละ (ตอนนั้น<1972/2515>อัตราแลกเปลี่ยน 20 บาทต่อหนึ่งดอลลาร์ 80X20=1,600บาท)

ขึ้นเครื่องบินจากดอนเมือง(เป็นครั้งแรกในชีวิต)ไม่กลัวหรอกครับแต่ก็ตื่นเต้นไม่น้อยเพราะก็อยากรู้ว่ามันจะเป็นยังไงเมื่อเครื่องบินบินขึ้นก็ไม่มีอะไร ไปจอดที่ญี่ปุ่นและก็ไปที่ฮาวายด่านแรกของอเมริกา เช็คเข้าประเทศที่นั่น ตอนเดินออกมาจะไปขึ้นเครื่องต่อไปยัง Chicago ผมได้เอาเท้า(ตีน)กระทืบแผ่นดินอเมริกาไปสามทีเพื่อขย่มแผ่นดินใหม่ ก่อนที่แผ่นดินใหม่จะขย่มเรา (ผู้เฒ่าผู้แก่สอนให้ทำอย่างนั้น...55555) มารู้เอาทีหลังว่าไปเหยียบขย่มผิดที่เพราะฮาวายไม่ใช่แผ่นดินใหญ่ของอเมริกาที่เราจะไปอยู่.....ชีวิตจึงถูกแผ่นดินใหญ่อเมริกาขย่มเอาบ้าง...55555

ที่ Chicago O’Hare Airport ก็มีพี่สาวผมและว่าที่พี่เขยไปรับ พี่สาวผมเขาหัวเราะ(เยาะ)ใส่ผมที่ผมใส่ Over Coat ที่ตัดเตรียมจากเมืองไทยไปเขาว่าเชยแหลก ทั้งๆที่ผมอุตส่าห์เลือกเอาตามแค็ตตาล็อกสไตล์ที่ผมเห็นว่าเท่ห์ที่สุดแล้วและก็เสียค่าตัดไปหลายพัน...55555

ออกจากสนามบินสิ่งที่ผมเห็นและก็ตื่นเต้นที่สุดคือ Snow ครับเพราะเกิดมาไม่เคยเห็นของจริงเห็นแต่ในรูปหรือในหนัง ตกขาวโพลนไปหมดเมื่อถึงบ้านพี่สาวผมมันก็เป็นกลางคืนแล้วนั่งคุยกันสักพักแล้วก็เข้านอนกัน ผมตื่นแต่เช้าออกไปนอกบ้านเอาแก้วน้ำไปด้วยไปตักเอา Snow ใส่แก้วแล้วเอามากินดูมันก็คล้ายๆน้ำแข็งเกร็ดนี่แหละแต่รสมันเจื่อนๆหน่อย

สายหน่อยพี่สาวก็พาไปรายงานตัวที่โรงเรียนเลย ไปเข้าเรียนภาษา ที่ YMCA หลังจากรายงานตัวแล้วก็พาไปทำ บัตร Social Security การจะทำงานได้ต้องมีบัตรอย่างนี้เพื่อใช้เป็นหมายเลขประจำตัวในการเสียภาษีหรือการรับเงินสวัสดิการสังคมต่างๆ สมัยนั้นทำง่ายมากครับ กรอกใบสมัครใส่ชื่ออะไรก็แล้วเขาก็ให้มาเลย คนไทยบางคนทำไว้ตั้งหลายใบหลายชื่อก็มี ผมมันคนซื่อคนตรงก็ใช้ชื่อจริงนามสกุลจริงสมัครแล้วก็ได้มาใบเดียวนั่นแหละ....55555

จากนั้นพี่สาวผมก็พาเข้า Down Town ในชิคาโกไปเปิดบัญชีแบงค์ให้ ผมมีเงินติดไป 80.00 เหรียญพี่สาวผมเพิ่มให้อีก 70 เหรียญ (พี่สาวผมคนนี้ดีและก็น่ารักมากครับ) ก็เปิดบัญชีไป 150 เหรียญ..เป็นครั้งแรกในชีวิตที่มีบัญชีธนาคาร...ภูมิใจมาก...

หลังจากที่พาผมเดินเข้าห้างนั้นออกห้างนี้ มันก็ตื่นเต้นดีนะแต่ผมไม่ค่อยแคร์หรือชอบช็อปปิ้งเท่าไหร่ ตกลงวันที่สองที่ไปถึงอเมริกาผมก็ได้เรียนรู้อะไรหลายอย่างรวมทั้งการที่จะขึ้นรถไฟไปโรงเรียนเองด้วย

สิ่งที่ผมตื่นเต้นที่ได้เห็นอีกอย่างหนึ่งก็คือทรงผมของคนผิวดำครับ ผมฟูหัวฟูซึ่งผมไม่เคยเห็นมาก่อนมันก็จึงดูแปลกและตลกดี ดูใครก็หน้าตาเหมือนกันหมดแยกไม่ออก...55555 ความรู้สึกในตอนนั้นผมสงสารพวกเขาที่เขาต้องมาตกเป็นทาสฝรั่งหัวขาวแต่อยู่นานเข้าๆความคิดผมก็เปลี่ยนไปบ้างต่อคนผิวดำ (วันหลังจะเล่าว่าทำไม)

ถึงอเมริกาได้ 5 วันผมก็ได้ไปเข้าเรียน English as a Second Language ที่ YMCA ตามที่บอกมาข้างต้น เนื่องจากผมเป็นคนกล้าจึงไม่กลัวและประหม่า อะไรที่ไม่รู้ ไม่เข้าใจผมก็ถามตอนนั้นมีคนไทยไปเรียนที่นั่นหลายคนเหมือนกัน เรียนห้องเดียวกันด้วยที่ผมคบมีชาย 4 คนหญิง 1 และผมจะเป็นหัวโจกของกลุ่ม

เรื่องตื่นเต้นเรื่องที่สามและเป็นจุดมุ่งหมายที่สำคัญของผมด้วยก็คือการทำงาน...หาเงิน....คือหลังจากไปเรียนได้ 2-3 วันเพื่อนพี่สาวผมที่ทำงานอยู่ร้าน Grocery ขนาดกลางๆแห่งหนึ่งมาถามผมว่าอยากทำงานไหม...อีกครั้งผมรีบตอบ Yes...ทันที....และผมก็ได้งานเป็นงาน Part Time ได้ค่าแรงชั่วโมงละ $1.65 เหรียญซึ่งเป็นค่าแรงขั้นต่ำในสมัยนั้น หน้าที่ผมก็แล้วแต่เขาจะใช้ให้ทำอะไร วันแรกที่ไปทำงานก็นั่งรถไปกับพี่ที่พาไปทำ วันต่อๆมาก็นั่งรถไฟรถเมล์ไปเอง

เช็คแรก(จ่ายทุกอาทิตย์)ที่ผมได้รับครั้งแรกในชีวิตจากหยาดเหงื่อและแรงงานในอเมริกา.....$28.17...โห....ตื่นเต้นและดีใจสุดๆเลย

เชื่อมะ...ผมมีบัญชีที่จดไว้จนเดี๋ยวนี้ เช็คที่สอง ผมได้ $33.77 เช็คที่สามผมได้ $43.60 ครับ.....55555

วันนี้...เอาแค่นี้ก่อน....หากสมาชิกชอบอ่านและสนับสนุนให้เขียนต่อ......ผมก็จะเขียนเล่า...ทั้ง Good และ Bad ที่ผมเจอมาแล้วผมแก้ไขยังไง

ประสบการณ์การต่อสู้ผมเยอะครับ......เขียนเป็นปีก็คงไม่จบ...55555

New York City , U.S.A.


ตอนที่ 2...ช่วงที่ทำงานที่ร้านขายของชำ

ผมทำงานที่ร้านขายของชำนี้ได้ 3 เดือนชีวิตผมก็ได้ผกผันไปได้งานอื่นแล้ว แต่ช่วงที่ทำงานที่ร้านขายของชำนี้มีเหตุการณ์หลายอย่างที่ผมไม่เคยลืมเลยโดยเฉพาะผู้ชายอย่างผม...55555....

วันหนึ่งขณะที่ผมกำลัง Fill Up โค๊กกระป๋องใส่ตู้เย็นอยู่กำลังนั่งแกะออกจากห่วงพลาสติกแล้วจะเอาไปเรียงไว้ในตู้แช่เย็น ก็รู้สึกว่ามีคนมายืนข้างๆ ก็แหงนมองขึ้นไปเห็นสาวผิวดำหุ่นดีอายุอย่างดีก็ไม่เกิน 20 แกถลกกระโปรงขึ้นให้ผมดู...กางเกงในก็ไม่ใส่ด้วย...ดำทะมึนเลย...55555 แล้วก็ถามผมว่า...“You like it?” ผมไม่รู้จะพูดยังไงก็เลยบอกว่า..yeah...แล้วเธอก็บอกว่า “Wanna date?” เอาง่ายๆเธอถามผมว่าจะซื้อบริการไหมนั่นแหละ ผมก็บอกว่าผมไปไม่ได้เพราะผมกำลังทำงานอยู่ เธอก็บอกว่าก็แอบลงไปที่ห้องเก็บของใต้ดินสิ (แสดงว่าเคยมีคนพาเธอลงไปมาก่อนเธอถึงรู้ว่ามีห้องใต้ดินอยู่) ผมก็บอกว่าไม่ได้เดี๋ยวถูกจับได้ผมจะโดนไล่ออก แล้วเธอก็ถามว่าจะไปที่อพาตเม้นท์เธอก็ได้นะอยู่ใกล้ๆนี่เอง ผมเลิกงานกี่โมงล่ะ ผมบอกว่าทุ่มครึ่งเธอก็บอกว่าเธอจะมาพบผมตอนนั้นแล้วผมก็ถามว่าเท่าไหร่...เธอก็บอกว่า 25 เหรียญ...ผมก็บอกตกลง

แล้วผมก็กลับมาคิดบ๊ะนี่มันค่าแรงงานเราทั้งวันเลยนะเนี่ย ใจก็อยากลอง...55555 อีกอย่างหนึ่งก็กลัวเดี๋ยวเกิดพาเราไปปล้นไปจี้จะทำยังไง เอาเป็นว่าบ่ายนั้นใจไม่เป็นสุขเลยคือตัดใจไม่ไปแต่ก็กลัวเขามาตอนเลิกงานไม่รู้จะปฏิเสธอย่างไร ในที่สุดผมก็เลยขออนุญาต Boss กลับก่อนเวลา 1 ชั่งโมงเพื่อที่จะหลบเธอ ผมก็ไม่รู้ว่าวันนั้นเธอจะไปถามหาผมหรือเปล่าเพราะตั้งแต่วันนั้นผมก็ไม่เห็นเธออีกเลยและอีกไม่นานผมก็ออกจากที่นั่นเนื่องจากไปได้งานใหม่ได้ค่าแรงอีกเท่าหนึ่ง

มีอีกครั้งหนึ่งก็มีฝรั่งผิวขาวเข้ามาในร้าน (ผมทำที่ร้านนี้ไม่นานก็เขยิบขึ้นมาอยู่ แผนก Daily ทำแซนวิสขายตามลูกค้าสั่งแล้ว ไม่ต้องยกของเติมของอีก) ผมเห็นเธอมาหลายครั้งแล้ว ก็สวยน่ารักดีนะ เธอมาสั่ง Polish Sausage ผมก็จัดการให้ระหว่างที่กำลังห่ออยู่เธอก็ถามผมว่าอยากไปเดทกับเธอไหม ผมมองเธออีกครั้งว่าเธอพูดเล่นหรือพูดจริง ผมก็ว่า “You’re kidding me” เธอก็ว่าไม่ได้พูดเล่น ผมก็ถามว่าเท่าไหร่ เธอบอกว่า 30 เหรียญ ผมก็บอกว่าผมไม่มีเงิน ผมทำงานได้วันละ 20 กว่าเหรียญเอง เธอก็บอกว่าผ่อนจ่ายครั้งละสิบเหรียญตอนเงินออกก็ได้ ผมก็เลยตกลง....55555....ไม่นึกมาก่อนว่าจะมีแบบนี้ มันจะเป็นครั้งแรกในชีวิตที่จะได้.....กับฝรั่งผิวขาวถึงแม้เธอจะเป็นอย่างนั้นก็เถอะ...คือไม่ได้กระหายแต่อยากลองครับ ก็เป็นครั้งแรกในชีวิต...หากจะถามผมว่าเป็นยังไง....ผมก็ขอตอบว่า..So...So....หรืองั้นๆแหละครับ

ร้านที่ผมทำนี้อยู่ติดป้ายรถเมล์ผู้คนสัญจรเยอะ มารู้ทีหลังว่ามีผู้หญิงหากินแถวนั้นเยอะเหมือนกัน

ในร้านนี้เหมือนกันที่ผมได้เรียนวิธีทำ Spaghetti Sauce ผมได้ประยุกต์จนถูกปากทั้งคนไทยและฝรั่งเอาแบบว่าไม่ว่าหัวดำหัวขาวหัวแดงกิน Spaghetti ของผมแล้วต่างชอบต่างชมมาทั้งนั้น

และก็ในร้านนี้อีกนั่นแหละที่ผมหัดทำ Steak ไม่ว่า T-Bone, Rib Eyes, Sirloin หรือ Filet Mignon (ฟิเลมิยอง) ได้อย่างชนิด Sizzler ชิดซ้าย ผมมีวิธีหมักของผมพนักงานในร้านชอบให้ผมทำให้กินเพราะกินฟรีและกินบ่อยๆเจ้าของร้านไม่รู้หรอก กินอะไรทุกอย่างได้แต่ห้ามเอากลับบ้าน

งานใหม่ที่ผมไปทำเป็นงานช่างครับ....ซึ่งผมไม่มีประสบการณ์ในงานช่างใดๆจากเมืองไทยเลย ไม่รู้ว่าเครื่องไม้เครื่องมือที่ใช้ภาษาไทยเรียกอะไรด้วยซ้ำผมทำงานนี้อยู่ 9 ปีเต็มๆก็ออกมาผจญชีวิตใหม่ อาชีพใหม่

Los Angeles , California , U.S.A.


ตอนที่ 3...ได้งานเป็นช่างซ่อมเครื่องโบว์ลิ่ง

เมื่อครั้งไปเรียนที่ YMCA ผมได้มีเพื่อนเป็นชาวต่างชาติคนหนึ่งเป็นคนอิหร่าน ชื่อ Safa เขาเป็นคนมีนิสัยดีมากต่างกับชาวอิหร่านทั่วไปที่ขี้คุยและคิดว่าตัวเองเก่งและฉลาด เขาไม่ได้เป็นแบบนั้นเราจึงคบหากันเป็นเพื่อนสนิทกันได้ เขาทำงานเป็น Bowling Machine Mechanic (ช่างซ่อมเครื่องโบว์ลิ่ง) ในโรงโบว์ลิ่งแห่งหนึ่ง ผมมักจะไปทำการบ้านกับเขาที่นั่น งานการเป็นช่างเครื่องโบว์ลิ่งนี่ Shift กลางคืนจะสบายหน่อยคือนั่งรอเขาเรียกเมื่อเวลาเครื่องมีปัญหาก็จะไปดูว่ามันเป็นอย่างไร ติดขัดอย่างไร ส่วนมากจะติดขัดเล็กๆน้อยๆ ก็แก้ไขเสียเครื่องก็จะเดินต่อได้ เครื่องโบว์ลิ่งนี่เขาจะเรียกว่า Automatic Pinsetter ใครที่เคยเล่นโบว์ลิ่งคงจะนึกภาพออกนะครับว่ามันทำงานยังไง ก่อนที่ผมจะไปอเมริกาเคยจำได้ว่าเกมส์โบว์ลิ่งนี้ในประเทศญี่ปุ่นเคยฮิตมากถึงกับมีทีวีซีรีส์ด้วย ธุรกิจโบว์ลิ่งตอนนั้นในญี่ปุ่นจะนิยมกันมากตึกเป็นสิบๆชั้นแต่ละชั้นเป็นโรงโบว์ลิ่งทั้งนั้น

เมื่อผมไปที่ทำงานเพื่อนที่โรงโบว์ลิ่งบ่อยๆ ผมก็สนใจและทึ่งกับการทำงานของเครื่องมาก เวลาเครื่องมีปัญหาเพื่อนผมก็จะไปแก้ไข ผมก็จะตามไปดูว่าเขาทำอย่างไร นานเข้าๆผมก็จำได้บ้าง เวลาเขาเรียกมาผมก็ออกไปดูแทนเพื่อนได้โดยที่เขาไม่ต้องไปดู ถ้ามันติดขัดแบบง่ายๆ ผมก็จัดการซะ แต่ถ้าเป็นแบบที่ผมไม่รู้ไม่เคยเห็นมาก่อนผมก็จะกลับไปเรียกเขาให้มาดู

มีอยู่ครั้งหนึ่งมีช่างคนหนึ่งลาออกไป เพื่อนผมก็ไปหาผู้จัดการฝากผมเข้าทำงานโดยโกหกว่าผมมีประสบการณ์มาก่อน เพื่อนผมบอกผมว่าไม่ต้องกลัวเวลาผมทำงานเขาจะมาอยู่เป็นเพื่อนจนกว่าผมจะ Handle เองได้ ผู้จัดการก็รับผมเข้าทำงานเป็นช่างระดับ C เอาง่ายๆก็คือ Pin Boy นั่นแหละ ช่างจะมีระดับเป็น A, B หรือ C ผมได้รับค่าแรง $3.25/ชั่วโมง ก็เกือบสองเท่าที่ผมได้รับที่ร้านขายของชำ

ผมดีใจจนบอกไม่ถูกที่จะหาเงินได้มากขึ้นเพราะผมต้องรับผิดชอบรายจ่ายของตัวเองทุกอย่าง ผมรีบกลับบ้านไปบอกข่าวดีให้พี่สาวผมทราบ แฟนพี่สาวผมขณะทำงานที่โรงงานแห่งหนึ่งทำมานานแล้วยังได้แค่ชั่วโมงละ $4.25 เอง

ผมได้ไปลาออกจากงานที่เก่าดูเจ้าของเขาก็ไม่อยากให้ผมออกเท่าไหร่ (เพราะผมคงทำงานดี 55555) แต่ผมก็อ้างว่าเรียนหนัก...เขาเลยไม่ว่าอะไร

ผมทำงานที่โบว์ลิ่งได้สักสามเดือนก็ได้ค่าจ้างเป็น $3.50 เหรียญต่อชั่วโมง ผมก็เรียนรู้ได้เยอะมากขึ้น สถานที่โบว์ลิ่งแห่งนี้มี 32 เลน กลางคืนจะมีช่างคนเดียวทำงาน เวลาทำงานผม บ่ายสี่โมงถึงเที่ยงคืนซึ่งก็ได้เวลาปิดพอดี

อ้อลืมบอกไปช่วงนั้นอะไรมันก็ถูกถ้าเทียบกับเงินที่หาได้ กาแฟถ้วยละ 10 เซนต์(ถ้าไปกินในร้านอาหารดีๆ 25 เซนต์) บุหรี่ซองละ 50 เซนต์ น้ำมันรถแกลลอนละ 39 เซนต์ รถขับใหม่เอี่ยมราคา 3-4000 เหรียญ มีเงิน 500 เหรียญก็ดาวน์มาขับได้ถ้ามีงานทำ ในสหรัฐเขาจะถือว่า “No Job No Credit” ตรรกง่ายๆก็คือ ถ้าคุณไม่มีงานทำจะเอารายได้มาจากไหนซึ่งมันก็จริงน่ะครับ รถ Mustang กับ Camaro จะเป็นที่นิยมมากในช่วงนั้น

ประสบการณ์ที่ได้จากการทำงานที่นี่ นอกจากผมพอจะได้ความรู้เรื่องช่าง การใช้เครื่องไม้เครื่องมือต่างๆแล้วมีอีกเรื่องหนึ่งที่ผมไม่เคยลืมเลยคือผมมี American Girlfriend เป็นคนแรก เธอชื่อ Ann อายุก็แค่ 15 เอง (ตอนนั้นผมก็ 20 กว่านิดหน่อยเอง) มีเชื้อสายเป็น Ukraine ที่รู้จักกันได้เพราะเธอจะมาเล่นบ่อยๆ ผมเห็นเธอครั้งแรกก็รู้สึกชอบนะแต่ไม่เคยเข้าไปทักทายแค่ทำแกล้งเดินเฉียดไปเฉียดมาเพื่อที่จะได้เห็นเธอใกล้ๆเท่านั้น

มีวันหนึ่งเธอกวักมือเรียกผมให้เข้าไปหา ผมงี้..เดินแทบวิ่งเข้าไปหาเลย...55555....ไปถึงก็ถามว่ามีอะไรหรือเธอก็ถามว่าตรงนี้จะจด Score ยังไงเธองง ผมก็อธิบายให้เธอทราบแล้วเราก็คุยกันอีกเล็กน้อยผมก็ต้องเดินจากไปเพราะจะไปยืนคุยกับลูกค้าอย่างนั้นไม่ได้ หน้าที่ผมต้องอยู่ข้างหลังเครื่องโน่นจะออกมาเดินเพ่นพ่านแถวคนโยนโบว์ลิ่งไม่ได้

จากการพบปะกันวันนั้นเราก็คุยกันบ่อยขึ้น หลายครั้งผมก็แอบพาเธอไปข้างหลังโดยเข้าทางประตูหลัง ปกติคนไม่มีหน้าที่จะเข้าไปข้างหลังไม่ได้เมื่อผมแอบพาเธอเข้าไปจึงไม่มีใครเห็นเหมือนกับที่เพื่อนผมพาผมเข้าไปตอนแรกๆนั่นแหละ คบกับเธอไม่นานเรื่องกอดจูบก็เป็นเรื่องธรรมดาแล้วครับ วันหยุดเราก็ไปเที่ยวไปดูหนังด้วยกัน เธอพาผมไปเที่ยวบ้านเธอด้วยแต่ผมไม่กล้าพาเธอไปที่บ้านผมเพราะเกรงใจพี่สาวไม่อยากให้เขารู้ว่าเรากระแดะ....55555

ผมก็พาเธอไปเที่ยวที่บ้านเพื่อน Safa นั่นแหละไปทำอะไรกินกันหลายครั้ง มีอยู่ครั้งหนึ่งเราก็นอนเล่นกอดจูบกันตามประสา กอดกันไปกอดกันมาเสื้อผ้าก็หลุดลุ่ย แต่จู่ๆเธอก็ผลักผมออกบอกว่า “I am afraid to get pregnant” อย่าให้บอกเลยครับว่าผมรู้สึกยังไงตอนนั้น....55555 แต่ก็ไม่คิดเอาแต่ได้ขัดใจเธอ เรื่องกลัวท้องนี่เด็กอเมริกันจะกลัวมากครับแต่ก็มีเยอะที่ “ท้องจนได้” ก็เป็นปัญหาให้สังคมไป

ปกตินะ..เด็กรุ่นอเมริกันจะไม่คบใครเป็น Boy Friend ถ้าอายุแก่กว่าเธอเกิน 3 ปี หากเกินกว่านั้นจะถือเป็นพ่อเป็นพี่เลยแหละ...ดีว่าผมตัวเล็กหน้าอ่อนเลยได้เปรียบตรงนี้...55555

และแล้วผมก็มีความคิดที่จะแยกตัวไม่อยู่กับพี่สาวแล้วเพราะเขาแต่งงานแล้ว มีพี่เขยเข้ามาอยู่ด้วยผมก็อยากให้เขาอยู่กันอย่างอิสระไม่ต้องมาคอยดูแลผม ตอนที่พี่สาวผมแต่งงาน (หลังจากที่ผมไปถึง 7 เดือน) ผมก็ไปซื้อของขวัญให้พี่สาวโดยซื้อโคมไฟ สูงประมาณ 1 เมตรราคา $65 ให้พร้อมกับบอกพี่สาวว่า “ตอนนี้พี่ก็ไม่ใช่ตัวคนเดียวแล้ว จะคิดจะอ่านทำอะไรช่วยเหลือใครจะตัดสินใจด้วยตัวเองไม่ได้ฉะนั้นภาระทางบ้านที่เมืองไทย พี่ไม่ต้องห่วงผมจะ Take Care เอง”

Chicago นี่หน้าหนาวหนาวมากๆครับ เวลามีลมลมก็แรงมาก บทอากาศจะเปลี่ยนแปลงก็เปลี่ยนเอาดื้อๆ ถึงกับมีคนเอามาเปรียบเทียบใจคนว่า “You keep changing your mind just like the weather in Chicago” ผมไม่ชอบอากาศหนาวอย่างนั้นด้วยกับเหตุผลที่คิดอยากย้ายข้างบน ผมก็เลยคิดที่จะย้ายรัฐเลย ลาพี่สาว ลาเพื่อน ไม่ได้ลา Ann เพราะหลังจาก “วันนั้น” แล้วก็ไม่เห็นเธออีกเลยก็ประมาณเกือบเดือนครับ ผมก็ไม่ได้ไปตามหาเธอที่บ้าน

ผมย้ายจาก Chicago หลังจากที่อยู่มาได้ปีหนึ่ง วันที่ 4 ม.ค.1973 ผมก็บินไปที่ Houston Texas เสียค่าเครื่องบินไป $90 เหรียญ ที่ Houston นี่แหละที่ชีวิตผมมีทั้งรุ่ง ทั้งตกต่ำ มีบ้านอย่างกะวังอยู่ แม้แต่คนอเมริกันเองน้อยคนนักที่จะมีบ้านอย่างผมอยู่

ปล. หลายท่านอาจจะคิดว่าผมไปอยู่อเมริกาใหม่ๆแท้ๆพูดคุยกับคนอเมริกันรู้เรื่องได้ยังไง คือจริงๆแล้วภาษาอังกฤษผมก็กระท่อนกระแท่นพอเอาตัวรอดได้ตั้งแต่อยู่เมืองไทยแล้ว เคยพาคนต่างชาติเที่ยวเมืองไทยหลายครั้ง จนได้ “Sweet Heart” เป็นอาหมวยจากปีนัง มาเลเซีย จากกลุ่มคนจีนที่ผมพาเที่ยว ผมจะเล่าถึงเรื่องเธอในตอนต่อไป

การที่ภาษาอังกฤษผมกระท่อนกระแท่นพอเอาตัวรอดได้เพราะอย่างนี้:

1. ชอบเพลงฝรั่ง IS Song Hit นี่ผมก็มี ชอบเพลงไหนก็เอามาอ่านเอามาแปลให้เข้าใจ เอาไปใช้เขียนได้ด้วย

2. มี Pen-Pal น้องหมวยจากมาเลเซียซึ่งชื่อ Annette (แอนเหมือนกันอีกล่ะ...55555) เขียนติดต่อกันเป็นภาษาอังกฤษ เกือบ 10 ปี ตรงไหนผมเขียนหรือใช้คำไม่ถูกเธอก็จะแก้ไขท้วงติงให้ ผมไม่อายและอนุญาตให้เธอแก้ไขบอกผมได้ Love Story กับคนนี้เศร้ามากๆครับ..แต่เธอจะเศร้ากว่าผมมาก

3. เนื่องจากผมเป็นคนไม่ขี้อายแต่ไม่ถึงกับหน้าด้าน ผมเคยแสดงละครเป็นภาษาอังกฤษ(ท่องจำ)ได้รับถ้วยรางวัลในฐานะผู้แสดงดีเด่นสมัยเมื่อเรียนมัธยมมาแล้ว คำพูดในบทละครนี้เอาไปใช้ในชีวิตประจำวันได้เยอะเชียว

อย่าเพิ่งเข้าใจว่าผมเก่งภาษาอังกฤษหรือเป็นผู้เชี่ยวชาญนะครับ ภาษาอังกฤษผมยังกระท่อนกระแท่นเสมอต้นเสมอปลาย การเรียนรู้ภาษาของผมหากจะเป็นประโยชน์กับใครก็เอาไปใช้ได้เลยครับ เอาไปสอนลูกสอนหลานก็ได้

Chicago , illinois , U.S.A.


ตอนที่ 4...ที่อยู่ใหม่ งานใหม่

ที่ผมเลือกไปอยู่ที่ Houston รัฐ Texas เพราะผมมีพี่ชายคนหนึ่งตามหลังผมมาอยู่อเมริกาหลังจากที่ผมมาแล้วประมาณ 6 เดือน ที่เขาเลือกไปอยู่ Houston เพราะเขามีเพื่อนอยู่ที่นั่น อีกอย่างหนึ่งเขารู้ว่าที่ Chicago มีอากาศหนาวคงไม่อยากไปอยู่

อากาศที่เมือง Houston นี่คล้ายกับบ้านเรามากแต่เวลาหน้าหนาวนี่จะหนาวจัดแต่ไม่มีหิมะ จะมีก็แต่เกร็ดน้ำแข็งหรือน้ำตามผิวพื้นจะกลายเป็นน้ำแข็ง บางปีเย็นมากจนน้ำในท่อน้ำประปาในบ้านแข็งแล้วขยายตัวจนท่อแตกเลยก็มี (บ้านผมก็เคยเจอมาแล้ว)

เมื่อมาถึง Houston ผมก็ไป Register เข้าเรียนต่อที่ University of Houston เพื่อที่สถานะวีซ่านักเรียนของผมจะได้ไม่ขาด พี่ชายผมพาไปสมัครเป็น Bus Boy (เก็บจาน ล้างจาน) ที่ร้านอาหารที่เขาทำเป็น Waiter อยู่แต่เขาไม่รับผม...55555 ก็เสียดายโอกาสที่จะทำงานหาเงินแต่ไม่เสียใจเพราะนั่นมันทำให้ผมไม่ต้องได้ชื่อว่าเคยเป็นเด็กล้างจานในสหรัฐ 55555

ผมนอนอยู่บ้านอีกวันหนึ่งก็พอดีไปเจอคนฟิลิปปินส์ที่เช่าอยู่ห้องข้างล่างผมก็เลยถามเขาว่าที่ใกล้ๆแถวนี้มีโรงโบว์ลิ่งหรือเปล่าเขาก็ตอบว่ามี เขาถามผมว่าทำไมหรือผมก็ตอบว่าผมจะไปสมัครงาน เขาก็ให้แผนที่ทางไปกับผมมา....รุ่งเช้าอีกวันผมก็ไป.....

ไปถึงสถานที่โบว์ลิ่งแห่งนี้...โอมันช่างโอ่โถงสะอาดสะอ้านงามตามมาก มีทั้งหมด 72 เลน แบ่งเป็นสองฟากๆละ 36 เลน ตรงกลางระหว่างสองฟากจะมีร้านขาย Snack, Bar มีโต๊ะนั่งเรียงเป็นแถวดูแล้วงามตาจริงๆ

ผมก็เดินไปที่ Counter ต้อนรับสำหรับคนที่จะเล่นเกมส์หรือเช่ารองเท้า ผมบอกพนักงานว่าผมจะมาสมัครงานขอใบสมัครมากรอกหน่อย เมื่อผมกรอกเสร็จแล้วผมก็เอาไปยื่นให้เขาเมื่อเขาดูตำแหน่งที่ผมต้องการจะสมัครแล้วคือเป็น Mechanic เขาก็บอกว่าต้องรอให้คนโน้นซึ่งเป็น Head Mechanic มาสัมภาษณ์ผมแล้วเขาก็ชี้ให้ผมดู.....ภาพนั้นผมจะไม่ลืมเลือนเลยในชีวิตมันเป็นภาพที่สะดุดตาสะดุดใจเป็นแรงกระตุ้นจูงใจผมยิ่งนัก

ภาพนั้นก็คือ Head Mechanic กำลังคุยกับผู้จัดการตรงกลางเลนสำหรับการโยนโบว์ลิ่ง คือคงจะปรึกษางานอะไรสักอย่างแต่มันเป็นภาพที่มีสง่าราศีสำหรับผมมากในใจผมก็คิด “สักวันผมจะเป็นอย่างนั้นให้ได้” วันที่เรามีตำแหน่งแล้วคนมานับถือเรา

เมื่อหัวหน้าช่างเขาว่างจากการคุยกับผู้จัดการแล้ว เขาก็เรียกผมไปพบเพื่อสัมภาษณ์ ก็ถามผมว่าเคยทำงานที่ไหนอย่างไรผมก็ตอบไปตามที่ผมกรอกในใบสมัคร แต่บอกเขาว่าเครื่องที่ผมเคยทำมามันคนละอย่างกับที่นี่ เขาก็ว่าไม่เป็นไรเพราะ Basic มันเหมือนกันและถามผมว่าพร้อมจะทำงานเมื่อไหร่ ผมก็บอกว่า Any time เขาก็บอกว่ามาเริ่มวันจันทร์ก็แล้วกัน จะเริ่ม Start ผมที่ $3.50/ชั่วโมง เวลาทำงานผม 5 โมงเย็นถึงตีหนึ่ง ผมขอให้วันหยุดผมเป็นวันอังคารกับวันพฤหัสเพราะผมต้องไปเรียนหนังสือ เขาก็ตกลง

สุขใจเสียไม่มีที่ไม่ต้องตกงานเดี๋ยวจะเดือดร้อนเรื่องกินเรื่องใช้ ไปดาวน์รถมือสอง Toyota Corona มาคันหนึ่ง (ต้องผ่อนจ่ายอีกเดือนละ $80 อีก 12 เดือน) เอาไว้ขับไปโรงเรียนและไปทำงาน อ้อขอแทรกนิดหนึ่งผมได้ใบขับขี่มาตั้งแต่อยู่ชิคาโก้แล้ว สอบข้อเขียนผ่านแล้วก็สอบขับ มีคนแนะให้เอาสตังส์ (ใบ 20 เหรียญ 1ใบ) ใส่ซองไว้ที่ว่างข้างที่นั่งเราให้สังเกตเห็นง่ายหน่อยเพื่อเอาไว้ให้คนสอบขับเราจะได้ผ่ายฉลุย ตกลงผมก็ผ่าน....ไม่แน่ใจว่าด้วยฝีมือหรือซองขาวกันแน่ 55555 เมื่อคนสอบบอกว่า “You Passed” ผมก็บอกว่า “Thank you” พร้อมกับชี้ไปที่ซองขาวนั่นแล้วก็บอกว่า “That’s your” คนสอบขับก็มองซ้ายมองขวานิดหนึ่งแล้วก็คว้าเอาซองใส่กระเป๋ากางเกงไป

วันไปทำงานวันแรกนาย Gary ซึ่งเป็นลูกเขยของหัวหน้าช่าง มีตำแหน่งเป็น Foreman ของ Night Shift เขาเป็นคนพาผมไปดูวิธีการตอกบัตรเข้า-ออกเวลามาทำงาน ไปกรอก W 4 Form (ฟอร์มสำหรับรายการจ่ายหรือหักค่าภาษีรายได้) ใน Office และ พาผมเดินทัวร์ในตึกว่ามีอะไรอยู่ตรงไหน ทุกคืนจะมีช่างอยู่ประจำด้านละ 2 คน เปิดบริการ 24 ชั่วโมง วันแรกผมก็ได้ นาย Gary นี่แหละเป็นคนเทรนให้

อยากจะบอกอย่างคร่าวๆว่ามีอยู่สองบริษัทที่ผลิตเครื่อง Automatic Pinsetter คือของบริษัท Brunswick Corporation และ American Machine and Foundry หรือชื่อย่อว่า AMF ทั้งคู่เป็นบริษัทคู่แข่งกันในการผลิตอุปกรณ์การเล่นโบว์ลิ่งต่างๆ เครื่องของบริษัท Brunswick จะใช้ระบบ Machanism (แบบตรงนั้นมากระทบตรงนี้ทำให้มีการเคลื่อนไหว...55555 ผมไม่รู้จะอธิบายเป็นภาษาไทยยังไง) เสีย 70% อีก 30% จะเป็นระบบไฟฟ้าควบคุม ส่วนเครื่องของ AMF นั้นจะเป็นไฟฟ้าทั้งหมดโดยจะมี Chassis ประกอบด้วย Relay ต่างๆคอยควบคุมการทำงานส่วนต่างๆของเครื่อง

เครื่องที่ผมเรียนมาจากชิคาโก้นั้นเป็นแบบ Brunswick แต่เครื่องที่ผมมาทำที่ Houston นั้นเป็นแบบ IMF ถ้าถามว่าผมชอบแบบไหนผมก็จะบอกว่าผมชอบแบบ AMF เพราะมันดูโปร่งดี

ผมเรียนรู้วิธีการทำงานของเครื่องโดยการสังเกตและก็อ่าน Manual หรือ Hand Book ประกอบไปด้วย ตอนใหม่ๆผมจะขึ้นไปนั่งบนเครื่องสังเกตการทำงานของมันไม่กี่วันผมก็เข้าใจในระบบการทำงานของมัน เมื่อเข้าใจระบบแล้วเวลามีปัญหาก็ไม่ใช่เรื่องยากที่จะแก้ปัญหานั้น แต่ก็อีกมันก็มีปัญหาอยู่เรื่อยหากปัญหาอยู่ที่ระบบไฟฟ้าเราก็เปลี่ยน Chassis ที่ว่าเป็น Brain หรือมันสมองของเครื่องเสียแล้วก็ทำโน้ตทิ้งว่าออกมาจากเครื่องไหน สร้างปัญหาอย่างไรเวลากลางวันหัวหน้าก็จะมาตรวจเช็คและซ่อมทิ้งไว้เอาไว้ใช้เป็น Spare อะไหล่ต่อไป

ถ้าไม่จำเป็นผมจะไม่พูดถึงเรื่องเครื่องเพราะมันน่าเบื่ออธิบายไปท่านสมาชิกก็ไม่เข้าใจอยู่ดี ผมจะเน้นในส่วนที่ผม Deal กับคนอย่างไร

2 ปีผ่านไปไวเหมือนโกหก... ผมยังทำงานที่เดิมเขยิบขึ้นไปเป็น Night Forman แล้วแทนนาย Gary ที่ออกไปเป็นหัวหน้าช่างที่โบว์ลิ่งอื่นที่อยู่ในเครือของบริษัทนี้ซึ่งมีทั้งหมด 11 แห่ง ผมขยันและไม่เคยขาดงานแบบ Call in sick ทั้งผู้จัดการและหัวหน้าช่างต่างก็ชื่นชมผมว่าทำงานดีอยากได้คนอย่างผมอีกสักสองสามคน ตอนนั้นผมได้ค่าแรงเพิ่มเป็น $4.75/ต่อชั่วโมงแล้ว แรงงานขั้นต่ำตอนนั้นก็ยัง $2.75/ชั่วโมงอยู่

ผมมีภาระเยอะต้องส่งมาจุนเจือพ่อแม่ทางบ้านด้วยก็เลยไปทำงานอีกจ๊อบหนึ่ง เข้า 8 โมงเช้าเลิก 4 โมงเป็นงานในโรงโบว์ลิ่งเหมือนกันแล้วก็มาต่อ 5-1 ที่ทำงานเดิม ที่ทำได้อย่างนี้เพราะตอนกลางคืนแค่ไปนั่งเฝ้าเครื่องคอยแก้ไขเมื่อเวลามีปัญหาจึงไม่ได้ทำอะไร ดูทีวีก็ได้ ทำการบ้านดูหนังสือก็ได้ บางทีนั่งหลับก็มี 55555..... Boss ผมยังเคยมาเจอผมนั่งหลับเลยแต่ไม่ปลุกผมแฮะ แกก็เดินผ่านไปผมเห็นแกก็ตอนที่แกกำลังจะเดินออกประตูไปข้างหน้าแล้ว

จริงๆแล้วการทำงานเป็นช่างซ่อมเครื่องโบว์ลิ่งนี่จะไม่ค่อยได้เจอหรือคุยกับคนที่มาเล่นหรอก หน้าที่เราต้องดูแลอยู่ข้างหลังเครื่องตลอดเวลาหากเครื่องไหนมีปัญหาคนเล่นก็จะยกหูโทรศัพท์แบบ In House ไปที่ Counter ทาง Counter ก็จะประกาศไปออกยังลำโพงด้านหลังว่าเครื่องไหนมีปัญหาเราก็จะรีบวิ่งไปดูแล้วก็แก้ไขปัญหาที่ติดขัดนั้น ปัญหาไหนที่จะใช้เวลาเกิน 5 นาทีเราก็ต้องบอกไปทาง Counter เขาได้บอกต่อไปยังคนเล่นให้เขารู้เพื่อที่จะได้ไม่อารมณ์เสีย

วันหนึ่งผมกำลังเดินออกมาทางข้างๆที่มีช่องทางให้ออกเพื่อที่จะไปเอากาแฟ คนที่ทำงานที่ Counter บอกให้ผมว่ามีคนต้องการพบผมที่เลนตรงโน้น ผมถามว่าอะไรทำไมหรือเขาก็บอกว่าไม่รู้ให้ไปดูเองก็แล้วกัน ผมก็เดินไปเห็นผู้หญิงคนหนึ่งกำลังโยนโบว์ลิ่งอยู่เป็นเม็กซิกัน หน้าตาเธอก็ดีตัวก็ไม่ใหญ่ผมก็เข้าไปถามว่า “Did you asking for me ?” เธอก็ตอบว่า “Yes” ผมก็ถามต่อว่ามีปัญหาอะไรหรือผมจะช่วยอะไรได้บ้าง เธอก็บอกว่าไม่มีปัญหาอะไรหรอกเพียงแต่อยากจะรู้จักผมเพราะผมเหมือนดาราที่เธอชอบ ผมก็หัวเราะแล้วก็คิดว่าเหมือนดาราคนไหนหน้าตาเราก็ไม่ใช่ฝรั่งซักกะหน่อยแล้วก็ถามเธอว่าดาราคนไหนล่ะ เธอก็บอกว่า บรู๊ซ ลี ผมงี้แทบปล่อยก๊ากออกมาเลยมันเหมือนได้ไง ผมหล่อกว่า บรู๊ช ลี ตั้งเยอะแพ้เขาตรงไม่มีกล้ามเท่านั้น...55555

ผมก็ถามเธอว่ามันเหมือนตรงไหนเธอก็บอกว่า Look Chinese เหมือนกันผมก็เลยถึงบางอ้อ...55555

ช่วงนั้น บรู๊ช ลี จะดังในอเมริกามากศิลปะการต่อสู้อย่างในหนังของ บรู๊ช ลี เป็นของใหม่สำหรับคนอเมริกันจึงมีคนคลั่งไคล้ บรู๊ช ลี เยอะรวมทั้งเธอคนที่อยากรู้จักผมนี้ด้วยเธอชื่อ Alicia ครับ

อ้อตอนนั้นผมไว้ผมยาวด้วยยาวประบ่าเลยดูเท่ห์เก๋มาก...55555

หลังจากที่คุยกันแล้วไม่รู้กามเทพแผลงศรเอากับใคร เรานัดกันไปกินอาหารจีนเพื่อที่จะได้รู้จักกันดียิ่งขึ้น ผมบอกให้เธอมารับผมรุ่งขึ้นอีกวันที่ผมไม่ได้ทำงาน เธอก็มาตามนัด แต่งตัวเสียสวยเชียว ผมก็หล่อเหมือนกัน เราไปกินอาหารจีนที่ร้านใกล้ๆโบว์ลิ่งนั่นแหละ จำไม่ได้ว่าสั่งอะไรอะไรมากินกันมั่ง จำได้แต่เสื้อผ่าอกกว่าครึ่งที่เธอใส่มาพร้อมเสื้อคลุมบางๆ...55555 ทานไปคุยไปถามไถ่อะไรกันไปจึงรู้ว่าเธออายุ 24 มีลูกสาวหนึ่งคนอายุ 4 ขวบเลิกกับแฟนนานแล้ว เธอทำงานอยู่ที่ Jack in a Box ซึ่งก็เป็นร้านอาหารฟ้าสฟูดส์นั่นแหละ ไม่รู้ว่าเดี๋ยวนี้มีในเมืองไทยหรือเปล่า

ดินเนอร์เสร็จเธอก็ถามผมว่าอยากไปเที่ยวบ้านเธอไหมผมก็ว่าไปสิ แล้วเราก็ไปที่ Apartment ของเธอ Wow...!!!...จริงๆด้วยภาพโพสเตอร์ของ บรู๊ส ลี ติดเต็มฝาผนังในบ้านแม้แต่ในห้องนอนของเธอก็มีติดที่หัวเตียง นี่เธอคิดว่าผมเหมือน บรู๊ช ลี จริงๆเหรอผมคิดในใจ แล้วผมก็ถามว่าลูกไปไหนเธอก็บอกว่าลูกเธอหลับแล้วในอีกห้องหนึ่งกับน้องสาวที่อยู่ด้วยกับเธอ

ดึกแล้วเธอบอกอย่ากลับเลยนอนเสียที่นั่น นอนในห้องเตียงเดียวกับเธอนั่นแหละ อะไรเกิดขึ้นหลังจากนั้นผมไม่บอก จะบอกแต่ว่าพริกเม็กซิกันนี่เผ็ดร้อนแรงเหลือหลาย เล่นเอาไอ้หนุ่มสึงตึงอย่างผมงงเลย....55555

หลังจากนั้นผมก็กลายเป็นสมาชิกประจำบ้านเธอ ไปรับเธอกลับบ้านจากที่ทำงานบ้างเพราะเธอเลิกดึกเหมือนผมเราคบกันอยู่พักหนึ่งแล้วก็ห่างเหินกันไปเพราะเธอญาติเยอะมากเดี๋ยวคนนั้นมาหา คนนี้มาหาคือในบ้านไม่ค่อยสงบ อีกอย่างหนึ่งผมก็มาทราบทีหลังว่าเธอก็เคยมีแฟนเป็น “ไอ้หนุ่มซินตึ้ง” อย่างผมเหมือนกันเป็นคนจีนจริงๆด้วย ยังโทรติดต่อกันอยู่ผมก็เลยเลิกราเสียแบบไม่มีอะไรโกรธกัน รถเก่าที่เธอขับเสียผมก็เลยตัดใจให้ไป $500 ไปดาวน์รถในฝันของเธอคือ Camaro นั่นแหละ ผมเองก็ยังขับคันเก่า Toyota ที่ซื้อมาเมื่อก่อนนั้นแหละ

ที่โบว์ลิ่งนี่มีคนดำผมฟูทำงานอยู่คนหนึ่งผมหมายถึงคนที่เป็นช่าง ตอนเข้ามาทำผมก็เห็นเขาแล้ว เขาชื่อ Ricky เป็นคนมืดที่สนิทกับผมมากที่สุดในอเมริกา ผมพูดจาล้อเล่นอะไรได้ทุกอย่างเขาก็ไม่โกรธแม้แต่การเต้นแบบเต้นแร้งเต้นกาของคนผิวดำเพื่อล้อเลียนเขา เขาก็ไม่โกรธแต่เขาคิดว่าผมบ้า....55555 ผมได้เลื่อนตำแหน่งขึ้นมาเขาก็ไม่ได้คิดอิจฉาชิงดีชิงเด่นอะไรเพราะเขารู้ตัวว่าการทำงานผม “แม่น” กว่าเขาเยอะ มีอีกคนชื่อ Joey เจ้านี่มักจะ Show Off ตัวเองว่าเก่งจะคอยอวดรู้ชิงดีชิงเด่นกับผมเสมอเมื่อตำแหน่ง Boss Night Shift ตกมาถึงผมเจ้านี่ก็เลยลาออกไปเพราะน้อยใจ เรามีช่างทั้งหมด 13 คน รวมทั้งหัวหน้าด้วยผมเป็นกะเหรี่ยงไทยคนเดียวนอกนั้นเป็นผิวขาวหมด ยกเว้น Ricky ที่เป็นคนผิวดำ พวกเราผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันทำงาน 2 กะ ผมอยู่กะกลางคืนจะมีหน้าที่ดูแลความเรียบร้อยทั้งหมดเพราะผมเก่งและไวกว่าทุกคนเวลาซ่อมเครื่องที่มีปัญหา จะให้คนเล่นรอนานไม่ได้ เกิดโมโหมาโยนได้ไม่ดีก็มาโทษว่าเป็นเพราะเราทำให้เสียเส้น

ช่วงเวลากลางคืนตั้งแต่ 6 โมงเย็นถึงเที่ยงคืนเลนจะไม่มีว่างเลยทั้ง 72 เลนเพราะมี League หรือทีมที่มาเล่นประจำ ผู้จัดการคนนี้เก่งมากในการจัดหาคนมาเล่นในลีค ต่อมาเขาก็ Move Up คือไปเปิดโรงโบว์ลิ่งเองอีกสองแห่งคือเป็นเจ้าของโรงโบว์ลิ่งเองเลย Ray Devido คือชื่อเขา หุ่นดี รูปหล่อ การมีลีคมาเล่นประจำจะเป็นรายได้หลักของโรงโบว์ลิ่ง จะอาศัยแต่ขาจรมาเล่นก็จะอยู่ไม่ได้เพราะขาจรจะมาเล่นช่วงคืนวันศุกร์กับวันเสาร์หรือวันอาทิตย์เท่านั้น

พอขึ้นปีที่สามค่าแรงผมก็เป็น $5.50 /ชั่วโมง ผมก็ Happy ผมออกมาเช่า Apartment แบบ Studio อยู่เองสมัยนั้นค่าเช่าเดือนละ $150 เอง ถ้าจะเอา Apartment แบบสองห้องนอนก็ประมาณ 300 เหรียญ ต้องหารูมเมทมาแชร์ค่าห้องถ้าจะอยู่อย่างนั้น แต่ผมไม่ชอบมีรูมเมทเพราะผมเป็นคนมีระเบียบชอบสะอาดกลัวคนที่จะมาอยู่ร่วมด้วยไม่เหมือนเราเลยไม่อยากมีปัญหา ผมซื้อเครื่อง Stereo มาบำเรอความสุขผม ซื้อออร์แกนมาเล่นราคาห้าพันกว่าเหรียญ (เงินผ่อนครับ..55555) ผมชอบร้องเพลงด้วย ไม่ได้ไปทำงานผมก็มีความสุขอยู่กับบ้าน ผมเล่นออร์แกนไม่เก่งหรอกอ่านโน้ตก็ไม่เป็นได้แค่จำเสียงได้ คือแบบหากร้องเพลงไหนได้ ผมก็พอบรรเลงมั่วไปได้คนที่เล่นไม่เป็นก็นึกว่าผมเล่นเก่ง....55555

ผมฝันและอยากมีเตียงสวยๆมานานแล้วจึงไปซื้อเตียงแบบมี Canopy (หลังคา) มานอนเพราะชอบมากอยากจะมีเจ้าหญิงมานอนด้วย เอาเป็นว่า Apartment เล็กๆของผมมีสิ่งที่ผมฝันและอยากได้ทุกอย่างยกเว้นเมียที่ยังไม่มีเป็นตัวเป็นตน ช่วงนั้นมีพยาบาลสาวๆฟิลิปปินส์ที่ผมรู้จักที่โรงโบว์ลิ่งมารุมตอมผมหลายคน บางคนมาเที่ยวหาผมอยู่ถึงตีสองตีสามแต่ผมไม่เคยลากพวกเธอมาทำปู้ยี้ปู้ยำเพราะผมกลัวที่จะต้องแต่งงานกับพวกเธอ ผมยังไม่พร้อมอีกอย่างไม่ได้รักปักใจใคร ผมยังมี Sweet heart ของผม “Annette “ อยู่ที่ Penang Malaysia รอผมอยู่และก็พร้อมที่จะมาอยู่อเมริกากับผมถ้าผม Say yes ให้เธอมา แต่เนื่องจากผมยังมีภาระช่วยเหลือทางบ้านที่เมืองไทยอยู่ผมจึงไม่พร้อมที่จะมีเมียได้จึงบอก Annette ให้รออีกหน่อย

ผมเจอ Annette ตอนผมอายุ 18 เธอมาเที่ยวเมืองไทยกับกลุ่มคนจีนจากมาเลเซียประมาณ 20 กว่าคน ตอนนั้นผมอยู่กรุงเทพฯมีเพื่อนคนหนึ่งเขาบอกให้พาทัวร์คณะนี้มาเที่ยวเชียงใหม่หน่อย 3 วัน จะให้ผม 500 บาท ผมก็ตอบตกลง แล้วผมก็เอาภาษาอังกฤษอันกระท่อนกระแท่นของผมผสมกับจีนบางคำพาทัวร์คณะนี้ไปได้ตลอดรอดฝั่ง วันกลับ กทม.ผมร้องเพลงจีน(มั่ว)ให้เขาฟังด้วย เพลงที่ร้องคือ “เกาซันชิน” ร้องจบได้ Tip มา 100 บาทดีใจมาก

ระหว่างที่พาพวกเขาเที่ยวในเชียงใหม่ สายตาผมไม่ได้ละจากน้องหมวย Annette เลยแอบมองเขาอยู่บ่อยๆมองไปทีไรก็เห็นเธอมองผมเหมือนกัน แต่ผมก็ไม่กล้าเข้าไปคุยอะไรกับเธอตรงๆ วันที่จะต้องจากกันผมจึงรวบรวมความกล้าเอาพวงกุญแจรูปหัวใจที่ผมซื้อจากร้านที่เชียงใหม่เอาไปยื่นให้เธอพร้อมกับบอกขอยื่นมิตรภาพให้เธอก็รับไปอย่างไม่ลังเลเหมือนกัน หลังจากนั้นผมก็ให้ Address ของผมให้เธอไป เธอสัญญาว่าจะเขียนมาหาเมื่อกลับถึงปีนังแล้ว

หลังจากนั้นไม่ถึงสองอาทิตย์เธอเขียนจดหมายมาหาผมจริงๆ ผมมีความสุขมากแล้วเราก็ติดต่อกันเป็นประจำเธอเขียนมา ผมก็ตอบไปแล้วก็ตั้งหน้าตั้งตารอ Mr.Postman ที่จะเอาจดหมายมาส่งให้ที่บ้าน สี่ปีที่เราเขียนติดต่อกันในเมืองไทย กับอีก 6 ปีระหว่างที่ผมอยู่ที่สหรัฐรวมทั้งหมดก็ 10 ปีที่เราติดต่อกัน

มีวันหนึ่งผมได้รับจดหมายจาก Annette เธอถูกบังคับให้แต่งงานเธอไม่อยากแต่งเพราะเธอไม่ได้รักผู้ชายคนที่เขาจัดหามาให้ เธออยากฆ่าตัวตายแต่มันก็เป็นเหมือนไม่มีกตัญญูรู้คุณต่อพ่อแม่ เธอรักผม อยากมาอยู่กับผมแต่ผมก็ไม่ยอมให้เธอมาตอนนี้ไม่รู้จะหาทางออกอย่างไร ผมก็รีบตอบเธอไปว่าอย่าได้คิดสั้นอย่างนั้นเป็นอันขาด ชีวิตที่เกิดมาไม่ว่าธรรมเนียมจีนหรือไทยการกตัญญูรู้คุณสนองคุณพ่อแม่นั้นประเสริฐยิ่งแล้ว และก็เพราะผมต้องสนองคุณพ่อแม่นี่แหละผมจึงยังไม่พร้อมที่จะให้เธอมาได้ฉะนั้นอย่าได้ขัดใจพ่อแม่เลยแต่งไปเถอะ ผู้ใหญ่เขาคงจะจัดหาคนดีมาให้ ถึงจะแต่งไปแล้วหัวใจเราก็ยังรักกันได้ไม่ใช่หรือเรายังสามารถติดต่อกันเป็นเพื่อนกันได้แล้วเธอก็ทำตามคำแนะนำของผมเขียนมาบอกว่าหลังจากที่แต่งแล้วเธอต้องไปอยู่ที่บ้านสามีแล้วเธอก็หายไปไม่เขียนอะไรถึงผมอีกเกือบสองเดือนผมก็ไม่กล้าเขียนไป

มาวันหนึ่งผมได้รับจดหมายจากคนๆหนึ่งแนะนำตัวเองว่าเป็นพี่สาวของ Annette มาขอความช่วยเหลือจากผมให้เขียนจดหมายไปให้กำลังใจหรือ Cheer Up Annette หน่อยเนื่องจากเธอปิดขังตัวเองอยู่ในห้อง ไม่ยอมไปไหน ไม่ยอมกิน พ่อแม่เป็นห่วงจึงมาขอให้ผมช่วยเพราะเขาเพิ่งรู้ว่า Annette รักผมโดยไปเห็นจดหมายที่ผมเขียนทุกฉบับที่ผมเคยเขียนถึงเธอในห้องเก่าของเธอจึงเข้าใจทุกสิ่งทุกอย่าง พร้อมกับขอโทษที่ไปฝืนใจเธอให้แต่งงานเพราะไม่รู้มาก่อนถึงความสัมพันธ์ของเรา ผมจึงเขียนตอบไปสองฉบับฉบับหนึ่งตอบพี่สาวเขา อีกฉบับหนึ่งฝากไปให้ Annette เพราะผมไม่รู้ที่อยู่ใหม่เขา หลังจากนั้นอีกสองอาทิตย์ Annette ก็เขียนตอบผมมา ขอบคุณที่ผมไม่ถือโทษโกรธเธอแถมยังให้กำลังใจไปอีก....

เรายังติดต่อกันเรื่อยมาจนเธอมีลูกสาวหนึ่งคนส่งรูปถ่ายมาให้ผมดูบ่อยๆ ผมสัญญากับเธอว่าผมกลับเมืองไทยเมื่อไหร่ผมจะไปเยี่ยมเธอและลูก ซึ่งผมก็มีความตั้งใจอย่างนั้นจริงๆ แต่พอได้มีโอกาสกลับเมืองไทยจริงๆผมก็ไม่ได้ไปหาเธอเพราะไม่อยากไปกวนน้ำให้ขุ่น เขามีชีวิตใหม่ มีครอบครัวแล้วไม่สมควรเอาตัวไปใกล้ชิดสนิทสนม ดีไม่ดีจะเกิดเรื่องอีกหากบังคับใจตนเองไม่ได้แล้วผมก็ตัดใจเลิกติดต่อกับเธอไปเลย ตำนานรักของผมกับ Annette ก็จบลงไปอย่างนี้

ตอนต่อไป....มีคนมาเสนองานใหม่....

Houston , Texas , U.S.A.


ตอนที่ 5...ไปรับงานเป็นหัวหน้าช่าง

ผมทำงานได้ครบ 4 ปีที่โรงโบว์ลิ่งแห่งนี้ก็พอจะรู้งานทุกอย่างว่าหน้าที่ของหัวหน้าช่างต้องทำอย่างไร ต้องรับผิดชอบอะไรบ้าง มีอย่างเดียวที่ผมไม่รู้คือหัวหน้าช่างได้เงินเดือนเท่าไหร่....55555

ถึงแม้ผมจะทำงาน Full time ที่นี่แต่อย่างที่เคยบอกมาก่อนผมก็ยังมีงาน Part time ที่อื่นทำ (ตามที่เวลาว่างจะมี) อีกคือ หากพอเป็น Mechanic Grade B ได้ก็พอจะหางานทำได้ง่ายเพราะช่างซ่อมเครื่องโบว์ลิ่งอย่างนี้ไม่มีโรงเรียนสอนฉะนั้นคนที่เป็นงานจึงนับตัวได้ สมัยนั้นช่างเกรด B จะมีรายได้ $6-8.00/ชั่วโมง เกรด A จะได้ $12-15.00/ชั่วโมง ทั้งนี้มันก็อยู่ที่ว่าโรงโบว์ลิ่งนั้นใหญ่น้อยแค่ไหนโดยเฉลี่ยแล้วสถานบริการอย่างนั้นจะมี 24,28,32 หรือ 40 เลน

โอกาสเป็นของผมเมื่อโรงโบว์ลิ่งที่ผมไปทำนั้นหัวหน้าช่างเขาจะย้ายไปทำงานที่ต่างเมืองเพราะได้รายได้มากขึ้น หัวหน้าช่างที่ว่านี้เขาชื่อ Richard เขาเคยทำที่เดียวกับที่ผมทำเป็นงานหลักอยู่นี่แหละ แต่เขาทำไม่นานก็ออกมาเป็นหัวหน้าช่างที่ผมมาทำงาน Part time กับเขาเขาชอบผมและรับผมเข้าทำงานด้วย เราเป็นเหมือนเพื่อนกัน นาย Richard นี่กินไม่เลือกนะขนาดผมทำน้ำพริกอ่องไปกินที่ทำงาน แชร์ให้เขากินเขายังกินเลยบอกว่าอร่อยด้วยซ้ำ...55555

เมื่อเขาจะออกไปก็จะต้องมีหัวหน้าช่างมารับงานต่อ เขาก็ดีนะ Recommend ผมกับผู้จัดการ Mr. Micky ว่าผมสามารถ Handdle ได้ ผม qualified Mr. Mickey ตกลงที่จะให้ผมเป็นหัวหน้าช่างโดยมีข้อตกลงว่าหากเขาไม่พอใจในผลงานที่ผมทำเขาจะหาหัวหน้าช่างใหม่ ผมก็ตอบตกลง จากการได้ค่าแรงในขณะนั้น $5.50/ชั่วโมงที่งานหลัก และที่ทำ Part time อยู่ผมได้แค่ $4.50/ชั่วโมง Mr. Mickey ตกลงจ่ายให้ผม เป็น Salary อาทิตย์ละ $400.00 (มีวันหยุด 2 วัน) ไม่ต้องตอกบัตรอีกต่อไป

งานที่หัวหน้าช่างจะต้องรับผิดชอบตามสถานโบว์ลิ่งทั่วไปคือ:

1. ตั้งแต่บริเวณคนนั่งโยนไปจนถึงข้างหลังเครื่อง รวมทั้งการดูแลรักษาเลนในแต่ละวัน การทำความสะอาดเลน การลงน้ำมันในเลน และทุกเลนต้องพร้อมที่จะใช้ก่อน 9.00 น. ของทุกวัน

2. จัดการทำตารางเวลาทำงานของช่างให้ครอบคลุมตั้งแต่เวลาเปิด-ปิดของสถานบริการ

3. ต้องดูแลรับผิดชอบทุกอย่างในตึก ไม่ว่าจะเป็นห้องน้ำหรืออะไรก็แล้วแต่ หากมีอะไรเสียใช้การไม่ได้ต้องซ่อมหรือไม่ก็ต้องหา Specialist มาจัดการ

4. ต้องคอยหมั่นตรวจตราดูแลเครื่องไม่ให้มีปัญหาใดๆ หากมีก็ต้องให้น้อยที่สุด โดยเฉพาะในเวลาที่มี League เล่น

5. ต้องมีการตรวจตราและเอาใจใส่เครื่องอยู่เสมอเช่นการใส่จารบี การหยอดน้ำมันในที่ๆต้องการ ต้องตรวจเช็คสภาพของเครื่องส่วนไหนที่สึกหรอก็จัดการเปลี่ยนเสียก่อนที่มันจะสร้างปัญหาสรุปแล้วก็คือการทำ Preventive Maintenance นั่นเอง

เมื่อตกลงรับงานไปแล้วสิ่งที่หนักใจตามมาก็คือต้องลาออกจากที่ทำงานหลัก...แล้วตูจะไปลาออกยังไงดี(วะ) เขาก็ดีกับเราไม่เคยถูกคาดโทษทัณฑ์ (เพราะทำงานดีรู้หน้าที่....แฮ่ะๆ) แล้วเราก็เป็นคนขี้เกรงใจเสียด้วย แต่เพื่อความก้าวหน้าแถมยังไม่พอจะมีรายได้มากขึ้นเราต้องยอม เขาก็ต้องไม่คิดโกรธเรา ทีลูกเขยเขาเองเขายังไปก้าวหน้าที่อื่นได้

ผมลืมบอกไปหัวหน้าช่างที่ผมทำเป็นงานหลักนั้นเขาชื่อ Malvin อายุก็ 60
กว่าแล้ว พวกเราจะเรียกเขาแค่ “แม็ล”เฉยๆ

Mal มีสีหน้าไม่ค่อยดีเท่าไหร่เมื่อผมบอกเขาว่าผมจะลาออกจากงาน ผมก็บอกเขาหมดว่าจะไปทำที่ไหน สรุปแล้วเขาก็บอกตามใจ เขาคงคิดได้ว่าก็คนอยากก้าวหน้าจะไปหยุดยั้งเขาได้ยังไง ผมก็เลยให้ Notice เขาสองอาทิตย์ก่อนที่จะออกเพื่อที่เขาจะหาคนมาทำแทนผมได้ อีกอย่างหนึ่งมันเป็นมารยาทของคนอเมริกันที่เวลาจะออกจากงานก็ต้องยื่นโนติสไม่ใช่จู่ๆอยากออกก็ออกไปเลย ใครมีประวัติอย่างนี้ต่อไปจะหางานยาก

ผมกล่าว Thank you กับ Mal ที่ช่วยเหลือให้ความกรุณาผมเสมอมาแล้วบอกเขาว่าผมจะไม่ลืมพระคุณเขาเลย ผมเป็นคนเดียวในบรรดาช่างที่ Mal จะเชิญผมไปที่บ้านเขาเมื่อมีโอกาสพิเศษต่างๆเช่น Thanksgiving หรือ Christmas ภรรยาเขาก็ชอบผมเหมือนลูกเหมือนหลาน

แล้ววันที่ผมต้องเริ่มงานใหม่ก็มาถึง ก่อนอื่นผมต้องหาคนมาแทนที่ผมอีกคนหนึ่ง ผม Move up ตำแหน่งผมก็จะว่าง ผมก็เลยโทรไปเรียกคุณมืด Ricky ให้มาทำตอนนั้นพอดีเขาว่างงานอยู่เพราะถูกไล่ออกจากที่เคยทำมาด้วยกัน เจ้านี่อะไรมันก็ดีแต่จะขาดงานบ่อยมาก อ้างโน่นอ้างนี่และทีหลังก็ทำเรื่องปวดหัวให้ผมเยอะเหมือนกัน แต่ผมชอบเขาที่เขา “ยอมรับ” ผม ไม่ได้มีจิตริษยากับผมเพราะเขาเองก็รู้ดีว่าสิ่งที่เขาทำไม่ได้หลายๆอย่างผมทำได้ อีกอย่างการบริหารจัดการนี่มันก็ไม่ได้เป็นกันง่ายๆ ผมว่าถ้าไม่มีแวว Leader นะผมว่า ผมตกลงจ่ายให้เขา $5.00/ชั่วโมงจากที่เขาเคยได้แค่ $4.50/ชั่วโมงเท่านั้น

หลังจากจัดการตารางทำงาน Cover Shift ต่างๆที่สถานโบว์ลิ่งเปิดแล้ว ผมก็วางแผนที่จะทำให้สถานที่ทำงานด้านหลังให้สะอาดสะอ้านเป็นระเบียบ Spare parts, เครื่องไม้เครื่องมือ (Tools) ต่างๆ จะจัดเก็บเป็นระเบียบแบบ “หยิบก็ง่าย หายก็รู้ ดูก็งามตา” นั่นแหละ

สถานที่โบว์ลิ่งแห่งนี้มี 28 เลนครับ ผมจัดการทำ Chart (แบบประวัติคนไข้นั่นแหละ) ใส่คลิ๊บบอร์ดห้อยไว้หลังเครื่องทุกเครื่องเพื่อง่ายต่อการบันทึกว่าได้ทำงานหรือเปลี่ยนอะไหล่อะไรไปบ้างและเมื่อไหร่ หลังจากนั้นผมก็เข้าไปตรวจสภาพเครื่องโบว์ลิ่งทุกเครื่องแล้วบันทึกไว้ว่าตรงไหนจะต้องปรับ เปลี่ยน แก้ไขหรือต้องหยอดน้ำมัน ซึ่งก็คือวิธีการบำรุงรักษานั่นแหละก่อนที่มันจะสร้างปัญหาให้ งานอันนี้แหละเป็นหัวใจของช่างที่ดีที่จะต้องทำสนองกับค่าจ้างที่เขาให้มา ทำดีเครื่องก็มีปัญหาน้อย Happy กันทุกฝ่าย ตั้งแต่ผู้จัดการ พนักงาน Counter และคนที่มาเล่น อย่างเราเป็นช่างก็ภูมิใจเพราะมันเป็นผลงานที่ไม่ต้องไปโฆษณาให้ใครฟัง

เมื่อตรวจสภาพเครื่องเสร็จแล้วต่อไปก็จะเป็นการแก้ไขตามที่ผมบันทึกไว้โดยไม่ว่าผมหรือช่างคนอื่น ในแต่ละวันใครทำอะไรไปนอกจากจะบันทึกไว้ใน Daily Report แล้วต้องบันทึกไว้ที่ Chart หลังเครื่องด้วย ใครบันทึกว่าทำอะไรไว้ผมก็จะไปตรวจดูว่าได้ทำจริงหรือเปล่า

สถานที่โบว์ลิ่งแห่งนี้มีห้องใหญ่สองห้องติดกันอยู่ด้านหลัง ห้องหนึ่งจะเป็นห้องทำงานซ่อมอุปกรณ์ต่างๆ อีกห้องหนึ่งก็จะเป็นห้องนั่งของช่าง (Shift กลางคืน) คอยแก้ปัญหาเครื่องเมื่อเวลาเขาเรียกมา กลางคืนตั้งแต่ 6โมงถึงเที่ยงคืนช่างจะไปทำงาน maintenance ไม่ได้เพราะเครื่องถูกใช้งานหมด ปกติสถานโบว์ลิ่งที่ผมเจอมาหลายๆแห่งจะไม่มีอย่างนี้ อย่างที่ๆผมจะออกมาก็ไม่มี แถมช่องว่างระหว่างเครื่องกับกำแพงตึกด้านหลังห่างกันแค่ 2 เมตรเท่านั้น เวลาเครื่องเปิดก็จะมีเสียงดังมาก แต่นานๆเข้าก็จะชิน

ผมได้ดัดแปลงห้องของช่างเป็นเหมือน Studio เล็กๆ แถมปูพรมด้วย มีตู้เย็น เตาไฟฟ้า เตาอบเล็กๆ TV และมีแม้กระทั่ง Sofa ผู้จัดการก็รู้นะว่าผมทำอะไร ทำให้ตัวเองสะดวกสบายยังไงมีคนไปฟ้องเหมือนกันและผมก็ได้ยินมาว่าเขาตอบอย่างนี้ “I don’t give a shit of what he did as long as my machine run smoothly” หมายความว่าเขาไม่แคร์ตราบใดที่เครื่องเกิดปัญหาน้อยที่สุด

เด็ดขาดเลยที่ผมห้ามก็คือห้ามดื่มอัลกอร์ฮอล์ทุกชนิดในเวลาทำงาน แต่ก็มี Exception นะ...55555.....คือมีอยู่คนหนึ่งเขาชื่อ Smithy อายุก็ห้าสิบกว่าแล้วเป็นฝรั่งหัวขาว เขาเป็น Head Mechanic อยู่ที่สถานที่โบว์ลิ่งอีกแห่งหนึ่งซึ่งเป็นเครื่องแบบที่ผมทำเป็นครั้งแรกจากชิคาโก้แต่เขาก็พอทำกับเครื่องแบบนี้ได้ เขาจะมาทำงาน Shift กลางคืนที่นี่อาทิตย์ละวันคือคืนวันจันทร์เพื่อหารายได้พิเศษหรือแก้เหงาก็ไม่รู้เพราะไม่มีเมีย เขาทำมานานแล้วเหมือนคนเก่าแก่ของที่นี่ เวลาเขามาทำงานเขาจะดื่มเบียร์ไปด้วยเสมอ ผมก็ไม่กล้าไปห้ามเขา แต่ก็บอกเขาว่าไม่ต้องไปสนใจประกาศที่ผมเขียน อย่าให้ใครเห็นเวลาดื่มก็แล้วกัน ปกติก็จะไม่มีใครรู้เห็นอยู่แล้วนอกจากพวกช่างด้วยกัน ใครก็ตามถึงทำงานในโรงโบว์ลิ่งแผนกอื่นก็เถอะนอกจากผู้จัดการแล้วผมห้ามเข้าไปทางด้านหลังเพราะไม่มีหน้าที่ในนั้น

นอกจากนาย Smithy ยังมีหัวหน้าช่างที่อื่นอีกคนมาทำอาทิตย์ละวันคือวันเสาร์ตอนกลางคืน โรงโบว์ลิ่งที่เขาทำเครื่องจะเป็นรุ่นแรกๆรุ่นเก๋ากึ้กของ AMF เลย คนนี้มีชื่อว่า Bill อายุก็เกือบ 60 เหมือนกัน นาย Bill นี้ ผมแอบเรียนเรื่องไฟฟ้าจากเขาได้เยอะมากโดยที่เขาไม่รู้ว่าผมแอบเรียน จะให้รู้ได้ยังไงล่ะครับเสียหน้าหมด....ผมมีวิธีใช้คนครับ....55555

ทั้ง Smithy และ Bill และผม เราก็มาเป็นเพื่อนกัน ผม Respect เขาๆก็ Respect ผมเหมือนกันในหน้าที่ คุณ Bill นี่แกไม่ชอบดื่มแต่ชอบสาวๆผิวดำ พาผมไปเสียเด็กกับเด็กสาวผิวดำมาแล้ว....นาย Bill นี่ร้ายกาจมากเรื่องนี้แบบนึกไม่ถึง อายุก็ปานนั้น ไม่มีอาย ครั้งที่ไปเที่ยวครั้งแรก (ครั้งแรกนะครับ...55555) แกเป็นคนนัดเด็กพวกนี้ไว้ (อายุไม่ถึง 20) ผมก็ไม่รู้จักเด็กมาก่อนหรอก ผมว่าแบบเป็นขาประจำนาย Bill นี่ก็ได้นะ นาย Bill นัดเด็กไว้ 2 คน ไปนั่งกินอะไรกันที่ McDonald ก่อน นาย Bill ถามผมว่าชอบคนไหน ผมก็บอกเขาไปหลังจากกินอะไรเสร็จแล้ว เพื่อเป็นการประหยัดเงินเขาเช่าโมเต็ล 1 ห้องแต่มี 2 เตียงโดยเรานอนคนละเตียง ผมทั้งนั่งทั้งนอนดูนาย Bill ปฏิบัติการทางเพศต่อหน้าผมอย่างไม่อายฟ้าอายดิน ......แก่ปานนั้นยังทำได้อย่างนั้นเหลือเชื่อจริงๆแม้จะไม่เป็นครั้งแรกที่ได้ดูหนังสดแต่ไม่ได้เห็นอย่างนั้น 55555....

อย่ารู้เลยนะว่าผมทำกับคนที่มาเป็นคู่ผมวันนั้นอย่างไร....อาย

ที่ทำงานที่เป็นช่างนี่มีอีกคนชื่อ Ricky เป็นคนขาว ยังเรียนหนังสืออยู่อายุก็ 20 เองเขาขับเครื่องบินเล็กเป็นด้วย ผมได้ประสบการณ์ในการได้นั่งเครื่องบินเล็กแบบ 4 ที่นั่งก็เพราะ White Ricky นี่แหละ ครั้งหนึ่งเราเช่าเครื่องบินเล็กให้ Ricky เป็นนักบิน บินไปเที่ยวงาน Oktoberfest ที่ San Antonio Texas เป็นงานของคนอเมริกันเชื้อสายเยอรมันที่คิดถึงบ้านเก่า จะอยู่ห่างจากเมือง Houston ประมาณ 200 ไมล์ บินชั่วโมงเดียวก็ถึง ใครอยากรู้รายละเอียดว่างานนี้เป็นอย่างไรคลิ๊กไปดูได้ที่นี่ครับ: www.beethovenmaennerchor.com

สนนราคาค่าเช่าเครื่องบินเล็กแบบนี้ ก็ไม่แพงนะถูกกว่าที่ผมคิดไว้มาก เขาคิดค่าเช่าเป็นชั่วโมงตอนที่บินอยู่ในอากาศ+ค่าน้ำมัน ไปกลับก็สองชั่วโมงกว่าเอง แชร์ส่วนของผมประมาณ 30 กว่าเหรียญเอง นั่งเครื่องบินอย่างนี้มันก็เสียวแต่ไม่กลัวครับ

เช้าวันหนึ่งผมก็ขับรถไปทำงานตามปกติ เอารถไปจอดไว้ที่เคยจอดตามปกติ (ประตูเข้าด้านหลังของตัวตึก) ลงจากรถมาก็มีหมาวิ่งไล่เห่าเหมือนจะเข้ามากัด เคยดูหนังเรื่อง Benji ไหมหมาอย่างนั้นแหละ


ก็คิดว่าหมามันมาจากไหน ทำไมถึงไล่เห่าเราเหมือนจะกัดและก็เหลือบไปเห็นกล่องกระดาษขนาด 12x18 นิ้ว วางอยู่ใกล้โคนต้นตาลที่ข้างตึก จะเดินเข้าไปดูเจ้าหมานั่นก็ยิ่งเห่าแสดงอาการจะเข้ามากัดจริงๆ ก็เดินถอยห่างออกมา ผมเดินไปเข้าตัวตึกด้านหน้าแล้วก็มาเปิดประตูหลังก็ยังเห็นหมานั่งอยู่ใกล้กล่องนั่นแล้วก็เห่าผมอีกไม่ให้ผมเข้าใกล้ ผมก็เลยวางแผนว่าจะเข้าไปดูที่กล่องนั้นได้ยังไงก็เดินไปที่ร้านใกล้ๆซื้อไก่ทอดมาสามชิ้นแล้วก็บอกให้คนทำความสะอาด (Porter) มาร่วมสังฆกรรมด้วย คือบอกเขาว่าผมจะเอาไก่ล่อหมาออกมาให้ไกลจากกล่องแล้วก็ให้เขาย่องไปยกกล่องเข้าประตูหลังแล้วปิดประตูเสีย สักพักก็ทำได้อย่างที่ตั้งใจ ผมก็เดินกลับไปที่ประตูหน้าเพื่อจะไปดูว่าในกล่องมีอะไร....นึกแล้วไม่ผิดมีลูกหมาสองตัวเพิ่งเดินได้เตาะแตะๆน่ารักมาก คนที่เคยเลี้ยงเจ้าหมาตัวนี้มาก่อนคงเลี้ยงไม่ไหวแล้วก็เลยเอามาปล่อยทิ้งไว้ที่โคนต้นตาลนั้น คงมาปล่อยไว้ตั้งแต่เมื่อคืนแล้ว

เอาละหวาจะทำไงดีเนี่ย เห็นลูกหมาก็รักเลยแล้วจะทำยังไงจะ Get Along กับแม่มันได้ ดุเพราะหวงและห่วงลูก ผมก็เลยไปจัดที่ให้ที่ห้องเล็กๆ (ห้องนี้ใช้สำหรับซ่อม Pin(ลูกพิน) ที่สึกหรอ เอากล่องลูกหมาไปไว้ที่ตรงนั้นแล้วหาไม้กระดานสูงสักสองฟุตมากั้นขวางประตูไว้เพื่อที่จะไม่ต้องปิดประตูเพื่อไม่ให้มันออกมาได้ เสร็จแล้วผมก็อุ้มลูกหมาตัวหนึ่งไปล่อแม่มันให้เดินตามเข้ามาจนเข้าห้องเล็กนั้นไปแล้วผมก็เอาลูกมันวางไว้ ปิดกั้นไม้กระดานแล้วมันก็ออกไม่ได้ แม่มันก็ตัวเล็กกระโดดข้ามไม่ได้ แล้วผมก็ไปทำงานของผมตามปกติแต่ก็คอยหมั่นไปส่องดู แม่หมายังไม่มีทีท่าว่าจะเป็นมิตร ผมก็อยากไปเล่นกับลูกหมาแต่ก็เข้าไปไม่ได้เพราะแม่มันจะกัดเอา แต่ผมก็หาวิธีเข้าไปอุ้มลูกหมาได้โดยเอาผ้าขนหนูผืนใหญ่ๆที่ใช้ทำความสะอาดเลนมาพันขาทั้งสองข้างแล้วก็ที่รอบเอวอีก แล้วผมก็เดินข้ามแผ่นกระดานเข้าไป แม่มันก็วิ่งมากัดทั้งกีดทั้งกระชากแต่ก็กัดไม่เข้าเพราะแพ้ปัญญาผม...55555 ผมก็เลยอุ้มลูกหมาออกมาเล่นได้

หมาที่เมืองฝรั่งไม่กินข้าวผมก็ไม่รู้ว่ามันกินขนมปังหรือเปล่า...55555 ผมก็เอา Hot dog มั่ง ต้มขาไก่มาจากบ้านมั่งให้หมากิน ผมสั่งคนทำงานกลางคืนไม่ให้ปล่อยหมาออกมา คือแบบไม่ต้องไปสนใจมันเรื่องข้าวเรื่องน้ำ เรื่องทำความสะอาด ผมจะจัดการเองเวลาผมมาทำงานตอนเช้า คุณ Mickey ผู้จัดการก็เข้ามาดูที่ผมเลี้ยงหมาอยู่ในนั้นแต่ก็ไม่ว่าอะไรเพียงแต่บอกว่าระวังอย่าปล่อยให้มันตกในไปในเครื่องที่กำลังทำงานอยู่ล่ะ ผมก็บอกว่า..ครับแล้วผมจะดูแลพร้อมกับขอบคุณเขาที่ไม่ให้ผมอัปเปหิหมาลูกสองไปทิ้งที่ไหน

สามวันเท่านั้นครับผมก็ลูบหัวแม่หมาได้ ตอนนี้ เธอ Trust ผมแล้ว ผมเข้าไปเล่นลูกหมาได้โดยไม่ต้องกลัวว่าเธอจะกัดอีกต่อไป ประมาณอาทิตย์หนึ่งผมก็ปล่อยให้เธอออกมาเดินเพ่นพ่านข้างนอกได้ ไปทำธุระของเธอตามที่ว่างในลานจอดรถได้โดยที่ผมไม่ต้องเป็นภาระในการเช็ดถูอีกต่อไปนอกจากจะของลูกหมา ผมจะใช้ให้ช่างดูแลก็ไม่ได้เพราะหมาเป็นเรื่องส่วนตัวผม...55555

สองสามอาทิตย์ผ่านไป ลูกหมาก็โตวันโตคืนน่ารักมากแล้วก็ซนมากเสียด้วย จะปล่อยให้ออกมาเดินเพ่นพ่านอย่างตัวแม่ก็ไม่ได้เพราะเดี๋ยววิ่งเข้าไปในเครื่องละก็เสร็จเลย อย่างดีก็เอามาปล่อยไว้ใน Studio แต่ก็ต้องคอยระวังเวลาเข้าออกเวลาเปิดหรือปิดประตูไม่ให้มันวิ่งออกไปได้

ทุกเช้าเวลาผมมาทำงานแม่หมาจะมาคอยผมตรงประตูหลัง ประตูมันผุหน่อยก็จะมีรูพอที่จะเอาปากและตาสอดมองลอดไปข้างนอกได้ เธอจะรู้ทันทีเวลารถผมมาจอดจะส่งเสียงร้องอย่างดีใจ พักหลังๆผมมักจะเอาหมาทั้งแม่ทั้งลูกไปนอนบ้านเพื่ออาบน้ำให้มันด้วย ต่อมาผมก็ทำบ่อยๆจนหมาเคยชินเปิดประตูรถเป็นกระโดดขึ้น ผมพาไปเที่ยวชายทะเลหลายครั้งสนุกทั้งหมาทั้งคน

วันหนึ่งผมกลับบ้านก็เห็นโนติ๊สจากผู้จัดการอพาตเม้นท์มาแปะไว้ที่ประตูความว่า “ We do not allow pet at this complex. Please remove your pet or else to have to look elsewhere to live” ชัดๆก็คือคุณจะเลี้ยงหมาที่นี่ไม่ได้ ไม่งั้นก็คุณต้องไปหาที่อยู่ใหม่

ไม่มีสิทธิ์ที่จะไปเรียกร้องขอความเมตตากรุณาใดๆได้ กฎของเขาก็คือกฎ แล้วเราจะทำยังไงดีละเนี่ยอยู่ที่โรงโบว์ลิ่งเฉพาะตัวแม่พอได้ แต่ลูกสองตัวนี่สิห่วงสวัสดิภาพของมัน ขังก็ไม่ได้มันร้อง เดินไปไหนก็วิ่งตามคือมันติดเราแล้ว หากจะย้าย-จะย้ายไปอยู่ที่ไหนคิดว่าอพาตเมนท์ไหนๆก็คงไม่ยอมให้เราเอาหมาเลี้ยงถึงสามตัวหรอกนอกจากจะไปเช่าบ้านเป็นหลังอยู่ ทุกข์มาเข้าหัวอกอีกแล้วไม่รู้จะทำยังไง ตอนนั้นก็ยังไม่รู้ว่าเขามีสถานที่ มีหน่วยงานที่เอาหมาที่ไม่ต้องการเลี้ยงหรือเลี้ยงไม่ไหวเอาไปให้กับหน่วยงานได้ ในที่สุดก็ต้องขอแรงนาย Ricky มืดช่วยจัดการให้คือให้เขาเอาไปให้ญาติๆพี่น้องของเขาที่มีบ้านอยู่แล้วเขาก็เอาไป อย่าให้บอกถึงความรู้สึกเลยครับหมาสามตัวเหมือนลูกเหมือนหลานผมเลย แม่มันก็นิสัยดีว่านอนสอนง่าย ลูก 2 ตัวก็ตัวผู้ทั้งคู่อ้วนท้วนสมบูรณ์น่ารักมากโตมากับมือแท้ๆ

ทำงานที่นี่มาได้ไม่ถึงปีดีก็มีข่าวว่า Bowling จะปิดเพราะ Land Lord(เจ้าของที่ดิน)ไม่ต่อสัญญาเช่าให้ ผมได้เข้าไปถาม ผู้จัดการดูเขาก็บอกว่าจริง เออ..นี่เราจะต้องหางานใหม่อีกหรือ งานผมไม่กลัวหรอกเรื่องตกงานผมหาได้ แต่ตำแหน่งหัวหน้าช่างนี่เราจะหาไม่ได้ง่ายๆ เพราะที่ไหนๆก็รับคนเดียวและก็ตำแหน่งหัวหน้าช่างเท่านั้นที่จะทำเงินได้ จริงๆแล้วช่วงนั้นผมก็ไปทำงาน Part time ที่ นาย Smithy โดยทำแค่ 2 วันคือคืนวันศุกร์กับวันเสาร์เขาจ่ายให้ $5.50/ชั่วโมงเพราะไปทำงานเป็นช่างธรรมดาไม่ต้องรับผิดชอบอะไรมาก งานจ่ายขนาดนี้ผมไปสมัครที่ไหนเขาก็รับถ้าเขาต้องการคน ที่นาย Bill ทำอยู่ผมก็ยิ่งเข้าได้สบายมากแต่ค่าจ้างมันจะน้อยลง

นอนคิดอยู่สองวันผมก็ไปหา Mal อดีตหัวหน้าเก่าซึ่งถึงแม้ผมจะออกมาแล้วผมก็ยังไปเยี่ยมแกไปนั่งกินกาแฟกับแกอยู่เสมอ ผมก็ได้เล่าให้แกฟังถึงเรื่องที่โรงโบว์ลิ่งที่ผมทำจะปิด โชคเป็นของผมอีกครั้งเขาบอกผมว่า นาย Doug ที่เป็นผู้ช่วยเขาในตอนกลางวันกำลังจะออก เขารับผมเข้าแทนได้แต่จ่ายให้ได้แค่ $8.00/ชั่วโมงเท่านั้น ผมก็ตกลงรับเอาผมจึงมีโอกาสกลับมาบ้านเก่าอีกครั้งหนึ่ง

จบตอนที่ 5

ตอนต่อไป....กลับรังเก่าไม่ถึงปี...ได้ตำแหน่งที่เคยฝันแต่ก็ไม่ได้มาอย่างง่ายๆ...ทั้งทน..ทั้งสู้...ชีวิตผกผัน....แต่งงาน.....ซื้อบ้านหลังแรกในชีวิต......

Phoenix , Arizona , U.S.A.


ตอนที่ 6...เมื่อความฝันกลายเป็นจริง

นอนคิดอยู่สองวันผมก็ไปหา Mal อดีตหัวหน้าเก่าซึ่งถึงแม้ผมจะออกมาแล้วผมก็ยังไปเยี่ยมแกไปนั่งกินกาแฟกับแกอยู่เสมอ ผมก็ได้เล่าให้แกฟังถึงเรื่องที่โรงโบว์ลิ่งที่ผมทำจะปิด โชคเป็นของผมอีกครั้งเขาบอกผมว่า นาย Doug ที่เป็นผู้ช่วยเขาในตอนกลางวันกำลังจะออก เขารับผมเข้าแทนได้แต่จ่ายให้ได้แค่ $8.00/ชั่วโมงเท่านั้น ผมก็ตกลงรับเอาผมจึงมีโอกาสกลับมาบ้านเก่าอีกครั้งหนึ่ง

กลับมาครั้งนี้ได้ทำงานกลางวัน ช่วง 8 โมงเช้าถึงบ่ายสี่โมง หน้าที่ก็คือตรวจตราซ่อมแซมเครื่องที่มีปัญหาบ่อยๆตามรายงานที่ช่างตอนกลางคืนเขียนโน้ตทิ้งไว้ ก็ทำอย่างนี้ทุกวันจนเป็น Routine หรืองานประจำนั่นแหละ ตอนเลิกงานผมก็ไปทำงาน Part time หาเงินที่อื่นอีก ที่โรงโบว์ลิ่งเหมือนกัน มีอยู่ครั้งหนึ่งผมไปทำในถิ่น “คุณมืด” ไปสมัครตามที่เขาประกาศรับสมัครไปพบผู้จัดการเขาถามผมถึง Experienced ของผม ผมก็บอกเขาไปแล้วผมก็ได้งาน ไปทำช่วงกลางคืนครับ โรงโบว์ลิ่งที่นี่ไม่ใหญ่ มี 24 เลนเอง ฉะนั้นตอนกลางคืนจึงมีผมทำคนเดียว

วันที่ไปทำงานวันแรกคนที่ทำงาน Counter เป็นพนักงานต้อนรับคือรับลูกค้านั่นแหละเขาหยอกผมว่า “Are you sure you come (to work) to the right place..?” ผมก็ตอบสวนเขาไปทันทีว่า “Do you see my hair? It’s black like yours” เขาถามผมว่ามาทำงานถูกที่หรือเปล่า ผมรู้ว่าเขาหมายถึงอะไรก็เลยตอบเขาไปว่าผมก็มีหัวสีดำเหมือนกัน....เขาก็หัวเราะแล้วก็บอกว่า..โอเค.. ที่เขาหยอกผมอย่างนั้นเพราะแถวนั้นเป็นถิ่นคุณมืดทั้งนั้น หัวแดงหัวขาวอาจจะมีผ่านไปผ่านมาแต่จะไม่มีบ้านอยู่แถวนั้น จะมีบ้างก็คงเป็นพวกเม็กซิกัน ธุรกิจอะไรในถิ่นนั้นจะมีแต่คุณมืดทั้งนั้น

ชีวิตในช่วงนั้นผมจะเนื้อหอมในหมู่สาวๆฟิลิปปินส์นะ เป็นพวกพยาบาลทั้งนั้น มีหลายคนที่มาชอบผมแต่ผมไม่เคยทำอะไรลึกซึ้งเกินไปกว่ากินเที่ยวด้วยกันเท่านั้น เพราะผมคิดว่าตัวเองยังไม่พร้อมหากไปทำอะไรเขาผมก็คงต้อง “แต่งงาน” เพราะในหัวคิดผมตอนนั้นยังหัวโบราณอยู่...55555 คือแบบต้องรับผิดชอบในสิ่งที่เราทำลงไป

มีครั้งหนึ่งไปงานปาร์ตี้ของฟิลิปปินส์นี่แหละมีคนมาแนะนำสาวฟิลิปปินส์ให้รู้จัก...อืมมม..หน้าตาเข้าสเป๊กเราก็เลยสนใจทีหลังก็ไปเที่ยวบ้านเขาบ่อยๆ เขาก็มีเพื่อนสนิทที่เป็น Roommate อยู่ด้วย นานเข้าหน่อยเราก็คบกันแบบเป็น Boy friend-Girl friend คือเป็นแฟนกันว่างั้น ในที่สุดผมก็ใช้วาทศิลป์ของผมชวนเธอไปหาอพาทเม้นท์อยู่ใหม่แบบสองห้องนอนโดยผมจะนอนอยู่ห้องหนึ่ง เขาและเพื่อนจะอยู่อีกห้องหนึ่งแล้วเราก็ไปอยู่ด้วยกันแบบ Three’s Company เลย ไปไหนเราทั้งสามจะไปด้วยกันเสมอ

มีอยู่ครั้งหนึ่งผมจัดงานวันเกิดครบรอบ 29 ปี ผมก็บอกแฟนผมล่วงหน้าว่าให้อยู่ช่วยนะเขาก็บอกโอเค แต่แล้ววันนั้นเธอและเพื่อนหายไปทั้งวันไม่บอกว่าไปไหน ผมก็เหนื่อยสุดๆกับการเตรียมอาหาร เวลาผมจัดงานคนชอบมาเพราะผมเลี้ยงด้วยของดีและไม่อั้น...คือเลี้ยงแล้วแบบเอาชื่อเสียงไปเลยฉิบหายช่างมันนั่นแหละ...55555

งานเลี้ยงคืนนั้นผ่านไปด้วยดีแต่ผมก็ยังไม่มีโอกาส Clear กับแฟนผม แต่ผมก็ตัดสินใจแล้วว่าจะทำอย่างไร รุ่งขึ้นผมไปบอกเลิกเลยด้วยเหตุผลว่าผมรับไม่ได้กับสิ่งที่เธอทำ รับปากแล้วทำไม่ได้ก็น่าจะบอกกันไม่ใช่หนีหายไปอย่างนั้น เธอก็ไม่ได้แก้ตัวอะไรกับผมเพียงแต่บอกว่า “โอเค” และถึงป่านนี้ผมก็ยังไม่รู้เหมือนกันว่าเพราะอะไรเธอถึงไม่อยู่บ้านช่วยผมในวันนั้น

หลายวันต่อมาผมกลับบ้านแต่หัวค่ำไม่เห็นอดีตแฟนของผมมีแต่เพื่อนเขาอยู่บ้าน ผมจัดทำกับข้าวแล้วก็เรียกเขามาทานด้วย ทานเสร็จแล้วผมก็ถามเขาว่าจะไปไหนหรือเปล่าเขาก็ว่าไม่ได้ไปไหนผมก็ชวนเขาไปดูหนังเขาก็ตกลงไปเพราะเขาก็ทราบว่าผมเลิกเป็นแฟนกับเพื่อนเขาแล้วแต่เราก็ยังเป็นเพื่อนกันอยู่ ยังอยู่ด้วยกันไม่ได้แยกย้ายไปไหน

ผมจะรวบรัดตัดตอนไปเลยและจะบอกว่าคนนี้แหละที่กลายมาเป็นภรรยาผมจนถึงทุกวันนี้ ครั้งนั้นเมื่อเราตกลงปลงใจกันแล้วก็จะต้องเข้าพิธีแต่งงานเนื่องจากเธอเป็นคาทอลิกผมจึงต้องแต่งงานในโบสถ์จะแต่งงานตามพิธีศาสนาคริสต์นี่ก็ไม่ใช่ง่ายๆนะครับ กว่าโบสถ์เขาจะรับทำพิธีให้ก็ต้องไปอบรมอะไรหลายๆอย่าง ต้องไปศึกษากันและกันว่าจะเข้ากันได้ไหม มีการแลกเปลี่ยนคำถามคำตอบกันมีอะไรอีกเยอะแยะไปหมดผมจำไม่ได้....55555

ในที่สุดก็ถึงวันกำหนดแต่งงาน วันนั้นผมเช่าชุดทักซิโดมาใส่เสียหล่อเชียว เจ้าสาวผมเขาสั่งชุดแต่งงานมาจากฟิลิปปินส์สั่งทำพิเศษโดยญาติเขาที่โน่นจัดการให้ ผมมีเพื่อนเจ้าบ่าว 5 คนเพื่อนเจ้าสาวก็ 5 คน หลังจากทำพิธีแล้วก็ไป Reception หรือเลี้ยงที่ร้านอาหารจีน หลังจากนั้นก็ไปเลี้ยงต่อที่ The Roof Top ซึ่งเป็นบาร์เต้นรำที่ทันสมัยและเฟื่องฟูมากในขณะนั้นชั้นสูงสุด (22ชั้นถ้าจำไม่ผิด) ของ Galleria Mall หลังจากแต่งงานแล้วชีวิตก็ดำเนินราบเรียบ อดีตแฟนเก่าเขาก็ย้ายออกไปอยู่ที่อื่น

กลับมาทำงานที่เก่าได้ไม่ถึงปีดีก็มีข่าวว่าหัวหน้าช่างจะเกษียร ผมก็รอลุ้นว่าโอกาสคงจะเป็นของผมแล้วเพราะช่างที่มีอยู่ในขณะนั้นผมอาวุโสที่สุด (หมายถึงอายุการทำงานที่นั่นนานกว่าเพื่อน) ที่โรงโบว์ลิ่งก็มีผู้จัดการคนใหม่มาแทน Mr. Ray ผู้จัดการคนเก่าที่ลาออกไปทำ Bussiness ของตัวเองโดยไปเปิดโรงโบว์ลิ่งเอง

วันสุดท้ายที่ Mal หัวหน้าช่างมาทำงานผมก็จำไม่ได้ว่าเราพูดอะไรกันบ้าง แม้ในใจผมจะลุ้นเอาตำแหน่งแต่ผมก็ไม่แสดงกริยาอาการให้ใครเห็นว่าเราอยากได้และไม่ได้ถามถึงหรือพูดถึงเรื่องนี้กับ Mal เลย ผมก็ทำอะไรของผมตามปกติแต่ในใจก็ร้อนรุ่มว่าเมื่อไหร่เขาจะเรียกเราไปคุยหว่า.....55555

วันนั้นผมก็กลับบ้านโดยไม่มีอะไรในกอไผ่ รุ่งขึ้นอีกวันผมก็ไปทำงานตามปกติอยู่ได้สักพักก็มีคนมาเรียกผมให้ไปที่ห้องผู้จัดการเขาชื่อว่า Tom อย่าให้ผมบอกเลยว่าผมคิดยังไงขณะนั้น เมื่อเข้าไปที่ห้องผู้จัดการแล้วผมก็เห็นฝรั่งผู้ชายหัวขาวคนหนึ่ง Tom แนะนำให้ผมว่าเขาชื่อ Keith มาจากรัฐ Arkansas เขาจะมารับตำแหน่งหัวหน้าช่างที่นี่....ส่วนผมก็อยู่ในตำแหน่งเดิมเป็นผู้ช่วยหัวหน้าช่างนั่นแหละและผมก็บอกกับ Keith ว่า “Welcome on board” หรือ ยินดีที่จะได้ทำงานร่วมกัน แล้วก็ลาออกมา

หัวใจแทบสลายความหวังพังทลายความรู้สึกในตอนนั้นผมอยากจะลาออกเสียแต่ก็ทำไม่ได้เพราะที่อื่นเขาจะไม่จ่ายผมขนาดนั้น มีความรู้สึกว่าเพราะเราเป็นกะเหรี่ยงหรือเปล่าเขาถึงไม่เอาเราไม่เชื่อในความสามารถเรา หรือเขาเห็นผมเป็นเด็กอยู่ คุณ Mal ไม่ได้แนะนำเราหรือคิดไปร้อยแปดพันประการ

ทำงานแบบ Upset ร่วมกับหัวหน้าช่างคนใหม่ได้ 2 วันผมก็รู้ว่านาย Keith นี่มีความรู้ความชำนาญไม่ถึงครึ่งหนึ่งที่ผมมี ในใจผมก็คิดว่าผมจะทนอยู่ ผมยังมีโอกาส สักวันหนึ่งเจ้าของกิจการจะต้องรู้ว่าคนที่เขาหามาจากรัฐอื่นมีความสามารถแค่ไหน ถึงผมจะรู้ว่านาย Keith มีความรู้ระดับไหนแต่ผมก็ไม่เคยไปโพทนาให้ใครฟัง ทุกวันที่ไปทำงานผมเป็นคน Run Business และก็ไม่เคยไปยกตนข่มนาย Keith เลยนาย Keith เองเขาก็รู้ว่าผมชำนาญกว่าเขาแค่ไหน

เกือบเดือนผ่านไปผู้จัดการก็เรียกผมไปพบแล้วถามผมว่านาย Keith นี่เป็นอย่างไรเขารู้สึกว่าไม่ Impress ในตัว Keith เลยงานอะไรก็เห็นมาจบเอาที่ผมหมด ผมก็บอกผู้จัดการไปว่า “To tell you frankly, all the time that he was here I was the one that running the backend and he knew that well” แปลว่าตลอดเวลาที่เขามาทำงานผมเป็นคนจัดการทุกอย่าง คุณ Keith เองก็รู้ แล้วผมก็ต่ออีกว่าผมก็ไม่เคยมาบ่นหรือบอกให้ผู้จัดการรู้ ที่บอกวันนี้เพราะเขาถาม ผู้จัดการก็บอกว่างั้นเขาจะตั้งผมขึ้นเป็นหัวหน้าช่างจะว่ายังไง ผมก็บอกว่าถ้าจะให้ผมรับงานแล้วผมต้องการอยู่ 2 อย่างคือ:

1. The right to hire and fire คือมีอำนาจรับเข้างานหรือไล่ออกช่างทุกคน

2. ให้งบประมาณในการใช่จ่ายเช่นอะไหล่ เครื่องใช้ต่างๆที่จำเป็นรวมทั้งเงินเดือนของช่างด้วยที่ผมสามารถเพิ่มให้ได้ ทั้งนี้ผมจะได้ไม่ต้องมาขอบ่อยๆหากผมจะใช้อะไรเกินนั้นผมจะมาขอ

ผมว่าถ้ายอมตามนี้ได้ผมก็จะรับโดยไม่ต้องขึ้นเงินเดือนให้ผมและผมขอเวลา 2 เดือนพิสูจน์ผลงานหากเขาชอบที่จะให้ผมทำงานต่อก็ปรับเงินเดือนใหม่ถ้าไม่ชอบผมก็จะพิจารณาตัวเอง

ผู้จัดการบอกว่าข้อหนึ่งนั้นเขาไม่มีปัญหาแต่ข้อสองเขาต้องไปปรึกษากับทาง Office เจ้าของโบว์ลิ่งก่อน ผมก็ว่างั้นผมจะคอย อีกวันต่อมา Mr. James ซึ่งเป็นประธานและเจ้าของโบว์ลิ่งทั้งหมด 11 แห่ง ก็มาที่ Office เรียกผมไปพบแล้วก็ตกลงตามเงื่อนไขของผม แล้วผมก็พาเขาเข้าไปเดินดูข้างหลังบริเวณเครื่องว่ามีสภาพอย่างไร แล้ว Mr. James ก็กลับไป หลังจากนั้นแล้ว ผู้จัดการ Tom ก็เรียกนาย Keith เข้าไปพบบอกเขาถึงการตัดสินใจให้ผมเป็นหัวหน้าช่างนาย Keith ก็ยอมรับโดยดุษฎี

เมื่อเขาออกมาแล้วผมก็ไปคุยกับเขาว่าเขาคิดยังไงอยากจะอยู่หรือจะไป เขาก็ตอบว่าเขาลาออกจากงานที่โน่นแล้ว ย้ายกลับไปก็ไม่รู้จะมีงานให้ทำอยู่หรือเปล่า เขาอยากจะอยู่แต่ที่เขาเสียใจคือถูกลดเงินเดือนลงมาจาก 550 เหรียญต่ออาทิตย์เหลือ 400 เหรียญต่ออาทิตย์ (ซึ่งยังมากกว่าผมอีก ผมได้ คิดแล้ว 320 เองแถมยังต้องตอกบัตรทำงานให้ครบ 40 ชั่วโมงอีก...55555)

ผมก็บอกเขาว่าเอางี้นะ ยูอยู่ที่นี่แหละไม่ต้องไปไหน โดยส่วนตัวแล้วไอก็ชอบยู ถ้ายูไม่รังเกียจหรือเสียความรู้สึกที่จะทำงาน Under ไอแล้ว ต่อไปไอจะช่วยปรับเงินเดือนขึ้นให้ยูเอง นาย Keith ก็ตอบตกลง

ถึงผมจะได้ตำแหน่งมาแล้วผมก็ยังจะปลื้มสุดๆยังไม่ได้เพราะไปผูกมัดตัวเองโดยการท้าทายผลงานเขาไว้แถมยังได้เงินเท่าเดิมอีก ที่ผมทำอย่างนั้นเพราะผมต้องการให้เขา (ฝรั่ง) รู้ว่ากระเหรี่ยงไทยตัวเล็กอย่างผมมีความสามารถที่เขาจะมาดูถูกไม่ได้ สองเดือนผ่านไปผมก็บอกให้ Tom บอก Mr. James ว่าผมพร้อมแล้ว Mr. James ก็มาผมก็พาเดินดูข้างหลังว่าที่เขาเห็นเดี๋ยวนี้กับเมื่อก่อนมันต่างกันอย่างไร ระหว่างนั้น Mr. James ก็ถาม Tom ว่าเครื่องโบว์ลิ่งเดินเป็นยังไงบ้าง Tom ก็บอกว่ามีปัญหาน้อยกว่าแต่ก่อนมาก

ในที่สุด Mr. James ก็แต่งตั้งให้ผมเป็นหัวหน้าช่างรับเงื่อนไขที่ผมเสนอไปปรับเงินเดือนให้ผมเป็น 600 เหรียญต่ออาทิตย์+ค่าน้ำมันในการที่ต้องออกไปซื้อหาอะไหล่หรืออื่นๆอีกอาทิตย์ละ 50 เหรียญรวมเป็น 650 เหรียญต่ออาทิตย์ซึ่งก็นับว่ามากโขอยู่สำหรับอาชีพช่างอย่างนั้นในสมัยนั้น Mr.James ได้บอกกับ Tom ว่า “I don’t care if he’s here or not, he can go fishing as long as the machines running good” หมายความว่าฉันไม่แคร์ว่าเขาจะมาทำงานหรือไม่เขาไปตกปลาได้ ตราบใดที่เครื่องเดินได้ดีมีปัญหาน้อย

ผมมีความสุขมากในวันนั้น ความอดทนของผมทำให้ผมได้มาในสิ่งที่ผมฝันไว้ได้ ผมจะเป็นหนึ่งในสองคน (ผู้จัดการ) ที่จะรับผิดชอบบริหารสถานโบว์ลิ่ง 72 เลนที่ใหญ่ที่สุดใน Houston ช่างในวงการธุรกิจโบว์ลิ่งในขณะนั้นผมจรัสเจิดจ้ามากกว่าใครๆ ไม่ต้องอยู่ใต้อำนาจผู้จัดการตามปกติทั่วไปในธุรกิจโบว์ลิ่ง (ที่ผมทำอย่างนี้เพราะคิดว่าเมื่อเขาไม่รู้งานเรื่องช่างเขาจะมาสั่งผมได้อย่างไร) เขาทำหน้าที่เขา ผมทำหน้าที่ผมคือเราจะทำงานร่วมกันและเพื่อเป็นการป้องกันการอิจฉาริษยาผมได้เชิญผู้จัดการ, ภรรยาและลูกเขาไปเลี้ยงอาหารที่ว่าดีที่สุดมื้อหนึ่งที่เขาเคยกินมาก็ว่าได้ พร้อมกับขอบคุณเขาที่มีส่วนหนุนให้ผมได้ตำแหน่งมาเราเป็นมิตรสนิทกันตั้งแต่วันนั้น

ตอนต่อไป...ซื้อบ้านหลังแรก....ได้ลูกคนแรก.....ชีวิตหักเห....เพราะการพนัน

Philadelphia ,Pennsylvania , U.S.A.


ตอนที่ 7...ซื้อบ้านหลังแรก....ได้ลูกคนแรก.....ชีวิตหักเห....เพราะการพนัน

และแล้วจังหวะที่ผมจะ Move up ฐานะของตัวเองเมื่อภรรยาผมท้องได้ 6-7 เดือนนี่แหละก็เลยมีความคิดที่จะซื้อบ้าน ภรรยาก็อยากได้ด้วยก็เลยไปซื้อบ้านขนาด 4 ห้องนอน 2 ห้องน้ำ ของ US Home สนนราคาในขณะนั้น 49,000.00 เหรียญ วางเงินดาวน์ไป 5-6 พันเหรียญนี่แหละ ผ่อนส่งรายเดือนๆละ 430 เหรียญซึ่งก็แพงกว่าค่าเช่าอพาตเม้นท์ไม่เท่าไหร่ ระยะเวลาผ่อนส่ง 30 ปี ตกลงที่ไปซื้อบ้านหลังนั้นเพราะรับขวัญลูกด้วยลูกเกิดมาจะได้มีบ้านอยู่เลย

เมื่อภรรยาคลอดลูกคนแรกเป็นผู้ชายผมดีใจสุดๆเลยเพราะอยากได้ผู้ชายมากกว่าผู้หญิง ลูกผมคนนี้โตมากับมือผมเลยนะ แม่ดูแลไม่ได้เพราะไม่มีความอดทนพอเวลาลูกร้อง ผมยังทำงาน 2 จ๊อบอยู่กลับบ้านเลิกตีหนึ่งก็เอาลูกมานอนด้วย ดูแลลูกมากกว่าแม่เขาเสียอีก ลูกถึงติดผมมากเวลาผมอยู่บ้านจะไม่เอาใครเลย ผมจะทำงานบ้านก็ไม่สะดวก มีหลายครั้งที่ผมต้องเอาชุดแม่เขามาใส่แล้วใส่วิกปลอม ลูกก็มองผมอย่างงงๆคงจะคิดว่า “ใครวะ”....แล้วเขาก็ไม่มาใกล้ผมเลย......55555 ตอนลูกคนนี้โตผมนี่ลำบากมากๆ หลายครั้งหลายหนที่ผมต้องเอาไปเลี้ยงที่ทำงานด้วยเพราะเอาไปฝาก Nursery เขาก็จะร้องจนผมสงสารทิ้งเขาไม่ได้ ก็เอาไปที่ทำงานด้วยเอาไปเลี้ยงที่หลังเครื่องในโรงโบว์ลิ่งนั่นแหละ เอา Play Pen (ไม่รู้ภาษาไทยเรียกอะไร) ไปด้วยแล้วก็ให้เขานอนเล่นอยู่ในนั้น

ช่วงที่เป็นหัวหน้านี่ผมสบายขึ้นมาก ขาดงานก็บ่อยทั้งนี้ทั้งนั้นเป็นเพราะผมมีทีมงานดี นาย Keith นี่กลายมาเป็นผู้ช่วยที่แทนตัวผมได้ ดูแลลูกผมให้ด้วยถ้าวันไหนผมเอาลูกไปทำงาน บางทีผมไปทำงานแค่ 2-3 ชั่วโมงก็กลับ เพราะมอบหมายงานให้คนอื่นทำหมดแล้วหากมีปัญหาอะไรให้โทรตามผม นาย Keith นี่มาอยู่กับผมไม่ถึงปีผมสอนให้เขาเก่งขึ้นเยอะโดยไม่คิดที่จะปิดบังอะไร ยิ่งเขารู้มากเท่าไหร่เขาก็ทำงานแทนผมได้มากเท่านั้นผมจึงสบายเพราะเหตุนี้ ผมไม่กลัวเขาจะมาแย่งงานผมหรอกผมถือว่าเราอาจจะทำอย่างเขาได้แต่จะเป็นอย่างเขาไม่ได้เพราะบุคลิกคนไม่เหมือนกัน

จำนาย Ricky ดำได้ไหม ทีหลังผมก็เอาเขามาทำงานด้วยแต่ในที่สุดก็ต้องไล่เขาออกเพราะขาดงานบ่อยผมไม่อยากให้เป็นเยี่ยงอย่างกับคนอื่น วิธีการไล่ออกของผมนั้นคือ ผมจะบอกพวกช่างว่าวันใดที่เขามาทำงานแล้วไม่เจอบัตรตอกเวลาของเขาหมายความว่า “You no longer needed here” การทำผิดกฎระเบียบจะมีการเตือน 2 ครั้งและจะไม่มีครั้งที่สาม การขึ้นเงินเดือนก็เหมือนกันไม่ต้องมาขอขึ้นกับผม ถ้าผมเห็นสมควรเห็นว่าใครทำงานดีผมขึ้นให้เลยโดยที่เจ้าตัวไม่รู้จนกระทั่งเขาได้รับเช็คและเห็นว่าได้รับเงินมากขึ้น วิธีนี้จะทำให้คนขยันมากขึ้น

ช่วงที่ผมทำงานเป็นหัวหน้าช่างอยู่ที่นี่ บ่อยครั้งจะมีโรงโบว์ลิ่งจากต่างเมืองที่มีปัญหากับเครื่องแล้วแก้ไขไม่ได้ก็จะโทรมาปรึกษาผมก็ถามถึงอาการ (เหมือนหมอเลย..55555) แล้วก็แนะนำไป ถ้ายังแก้ไม่ได้เขาก็จ้างผมพิเศษให้ไปดูเอง ใกล้หน่อยก็ขับรถไป ไกลหน่อยก็นั่งเครื่องบินไป ถ้าขับรถไปผมก็จะเอาลูกเอาเมียไปด้วยถือว่าไปเที่ยว ทำอาหารไปกินระหว่างทางส่วนมากจะเป็นวันเสาร์อาทิตย์เพราะเป็นวันหยุดผมที่ทำงานประจำ มีอยู่ครั้งหนึ่งผมได้รับการติดต่อว่าจ้างให้ไปทำงานที่ญี่ปุ่นเป็นงานชั่วคราวแต่ก็หลายเดือนซึ่งหมายถึงผมจะต้องออกจากงานที่ทำอยู่ ผมจึงไม่ไป จำได้ไหมที่ผมเคยบอกว่าธุรกิจโบว์ลิ่งช่วงหนึ่งในญี่ปุ่นรุ่งมากพอทีหลังซบเซาลงต่างปิดกิจการกันเป็นแถวคนอเมริกันก็ไปเหมาซื้อเครื่องแบบถูกๆแล้วก็เอามา Rebuilt ในสหรัฐแล้วก็เอาไปขายต่อ ที่ผมได้รับการติดต่อให้ไปที่ญี่ปุ่นก็เพื่อที่จะให้ไปทำงานนี้เหมือนกันคือไปรื้อเอามาแล้วให้อยู่ในสภาพที่ดีที่สุดแต่ผมไม่ไปเพราะคิดแล้วระยะยาวมันไม่คุ้มแต่ถ้าตอนนั้นผมตกงานผมไปแน่

การมีตำแหน่งเป็นหัวหน้าช่างนี่ก็มีโอกาสได้พบปะบุคคลมากหน้าหลายตาโดยเฉพาะอย่างยิ่งพวกเซลส์แมนที่มาเสนอขายของต่างๆ เช่นพวกเคมีภัณฑ์ น้ำมันเครื่อง น้ำมันหล่อลื่นและอะไหล่ต่างๆที่ทำเทียมขึ้นใช้แทนกันได้และราคาถูก พวกนี้เวลาเจอเราก่อนอื่นก็จะเอาของฝากให้เราก่อนเช่นปากกา ไฟแช็ค หรือแม้แต่เครื่องใช้ในครัวเรือน ทั้งนี้เพื่อที่จะให้เราเกรงใจและสั่งของที่เขานำมาเสนอ มีอยู่รายหนึ่งที่ผมจำภาพได้ไม่ลืมแต่จำไม่ได้ว่าเขาเอาอะไรมาเสนอขาย เป็นผู้หญิงอเมริกันหุ่นดีสวยใส่ชุดแบบ Business ของผู้หญิงนั่นแหละ คุณคนนี้ทำเอาผมใจหายใจคว่ำเหมือนกันเพราะระหว่างที่นั่งคุยกันเธอจะเปลี่ยนท่านั่งบ่อยๆ เปลี่ยนท่าแต่ละทีผมเห็นไปถึงกางเกงใน ผมว่าเธอจงใจที่จะโชว์ผมอย่างนั้นแน่ๆ หากผมชอบผมก็จะสั่งซื้อแล้วก็อีกนั่นแหละผมก็จำไม่ได้ว่าสั่งซื้ออะไรจากเธอหรือเปล่าจำได้แต่การเปลี่ยนท่านั่งของเธอจนเห็นกางเกงในเท่านั้น...จำได้จนบัดนี้...55555

วิวัฒนาการการโยนโบว์ลิ่งก็เกิดขึ้นในช่วงนี้คือผู้เล่นไม่ต้องจดแต้มเองอีกต่อไป บริษัท AMF ได้พัฒนา Automatic Score Keeper รุ่นแรกออกมาเรียกว่า Magic Score เครื่องนี้จะทำการบันทึกแต้มให้แต่ละครั้งที่ถึงตาคนเล่นคนไหนที่จะโยน ผมจะไม่อธิบายละครับว่ามันทำงานยังแต่จะบอกว่ามันเกี่ยวกับ Electronic แทบล้วนๆ แล้วผมเคยเรียนเคยรู้มาเสียที่ไหนแต่ก็ไม่เกินปัญญาของผมที่จะเรียนรู้หรอก อย่างน้อยเราก็ต้องเข้าใจระบบการทำงานของมันก่อน ฉะนั้นในช่วงระหว่างติดตั้งผมต้องเรียนรู้ว่าเขาติดตั้งอย่างไรเอาไป Connect กับเครื่องโบว์ลิ่งอย่างไร จำไม่ได้ว่านานเท่าไหร่ถึงติดตั้งเสร็จ เขาติดตั้งเลนคู่เดียวผมก็เข้าใจแล้วว่ามันทำงานยังไง ถ้ามันมีปัญหาเขาก็มี หนังสื่อให้อ่านว่าเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ควรไปเช็คตรงไหน ตอนติดตั้งใหม่ๆปัญหามันก็เยอะทั้งคนเล่นไม่เคยชินว่าจะใส่ชื่อตัวเองลงไปยังไง ต้องแก้ไขเมื่อมีการโยนผิดตาอะไรเทือกนี้ พอผมรู้ผมก็มาอบรมช่างของผมให้เขารู้หรือคลำทางแก้ปัญหาได้ ที่สำคัญที่สุดจะต้องบันทึกให้ผมทราบว่าได้ทำอะไรไปบ้างเผื่อมีปัญหาอีกผมจะแกะรอยได้ถูก

เรื่องที่ผมลืมไม่ได้อีกเรื่องก็คือประมาณ 3-4 เดือนหลังจากการติดตั้งมีเลนคู่หนึ่งมีปัญหา คือ Score’s Screen หรือ Monitor (จอภาพ) มักจะแวปหายไปคือ Black Out นั่นแหละแล้วก็กลับมาเอง มันไม่ใช่ปัญหาถึงกับใช้เลนเล่นไม่ได้ แต่มันก็น่ารำคาญว่าอย่างนั้น ผมพยายามแก้ปัญหาเอาตำรามาดูโทรถามช่างจากบริษัท AMF เขาก็แนะนำให้ทำอย่างนั้นอย่างนี้ก็ทำไม่ได้ ในที่สุดเขาจำเป็นต้องมา จากต่างรัฐมานอนอยู่สองวันก็แก้ปัญหาไม่ได้ ในที่สุดก็ Give Up ก็ต้องกลับไปเพราะกำลังทำงาน Install Magic Score ที่โบว์ลิ่งอื่นอยู่เหมือนกัน งานนี้เล่นเอาผมกินไม้ได้นอนไม่หลับ...คือมันเป็นอะไรของมัน ผมไม่ยอมแพ้ถึงผมยอมแพ้ก็ไม่เป็นการเสียหน้าแต่อย่างใดเพราะเป็นของใหม่ อีกอย่างช่างผู้ชำนาญงานจากบริษัทยังมาแก้ไม่ได้เลย

หลังจากที่ช่างจากบริษัท AMF กลับไปวันต่อมาผมก็บอกให้นาย Keith ไปโยนที่เลนคู่นี้แล้วผมก็นั่งจับตาดูว่า Score เต้นหรือดำมืดไปช่วงไหนผมสังเกตเห็นว่ามันจะเป็นตอนที่โยนลูกไปแล้วเป็นตอนที่ก่อนลูกโบว์ลิ่งจะวิ่งกลับมาหาคนเล่นประมาณ 5 วินาที มันจะเป็นอย่างนั้นทุกครั้ง ผมบอกให้นาย Keith ไปเอาเครื่องมือมาเปิดตรงบริเวณที่คนเล่น (ฝรั่งเขาเรียก approach) ตรงที่รางใต้พื้นเพื่อสำหรับให้ลูกโบว์ลิ่งวิ่งกลับมายังคนเล่น เมื่อเปิดแล้วผมก็นาย Keith โยนต่อแล้วผมก็สังเกตดูเวลาลูกมันวิ่งกลับมาก็จะเห็น เฝ้าดูสักพักก็ยังไม่เห็นอะไรผมก็เลยไปตรวจดูช่วงนั้นแทบจะทุกตารางนิ้ว

ในที่สุดผมคิดว่าผมเจอปัญหาแล้ว มันมีสายเคเบิ้ลที่เขาเชื่อมจากเครื่องข้างหลังต่อมาที่ตรงบริเวณโต๊ะคนจด Score เขาเดินสายคู่ขนานมากับรางสำหรับลูกโบว์ลิ่งวิ่งกลับมาใต้พื้นเลนแล้วสายนี้มันหย่อนลงมาประมาน 3 นิ้ว (เขามัดผูกใต้คานหากไม่สังเกตจะมองไม่เห็น) ผมก็ไม่ทราบว่ามันหย่อนได้ยังไง เห็นอย่างนั้นแล้วผมก็ให้นาย Keith โยนต่อ อืมมม...ถ้าจะใช่แน่เลยปัญหามันอยู่ที่นี่คือเวลาลูกวิ่งกลับมามันก็จะไปเฉี่ยวเอากับสายที่หย่อน มันโดนเฉี่ยวทุกวันๆมันก็สึกหรอกินเข้าถึงสายเคเบิ้ลข้างใน ผมก็เอาเทปพันไม่ให้มันหย่อนอีกต่อไปแล้วลองโยนดูใหม่ ไม่เป็นแล้วครับ....ปัญหาหายไปเลย...โยนไปอีกชั่วโมงหนึ่งก็ไม่เกิดปัญหาใด....โอ...ผมดีใจจนเนื้อเต้นที่แก้ปัญหาได้..เจ้า Keith มันก็อดไม่ได้เข้ามาจับมือผมแล้วว่า “อาข่า...you are just great!!!” ผมงี้หน้าบานเป็นกระด้งดีใจจริงๆ ผู้จัดการก็แฮปปี้ ผมก็โทรไปบอกช่างที่ AMF ว่าผมแก้ปัญหาได้แล้วผมก็บอกเขาไปว่าปัญหามันอยู่ตรงไหน งานนี้บริษัท AMF ให้ Gift ผมมา 500 เหรียญเพราะเขาไม่ต้องเสียเวลาส่งช่างเขามาเสียค่าเดินทางค่าใช่จ่ายอะไรอีก

อย่างที่ผมเคยบอกก่อนที่ผมจะมาทำงานเป็นช่างเครื่องโบว์ลิ่งนี่ ผมไม่มีความรู้อะไรในเรื่องช่างเลย เครื่องไม้เครื่องมือไม่เคยจับยกเว้นไขควงกับค้อน เครื่องมือเรียกเป็นภาษาไทยอย่างไรก็ไม่รู้แต่ถ้าเป็นภาษาอังกฤษได้หมดเห็น Nut (ภาษาไทยน่าจะเรียกน็อตนะ) ตัวไหนก็รู้ขนาดเครื่องมือที่จะใช้เลยแบบไม่ต้องลองผิดลองถูก การเรียนรู้วิธีการทำงานของเครื่องก็เหมือนกันผมใช้หลักคำสอนของพระพุทธเจ้าที่ว่า เมื่อมีผลมันก็ต้องมีเหตุ หากรู้เหตุแล้วก็ดับผลได้ เวลาเครื่องมีปัญหาเราก็ต้องหาเหตุว่ามันทำไมถึงเป็นอย่างนั้นหาเหตุได้ปัญหาก็จบ

ชีวิตผมช่วงนั้นก็อยู่ดีกินดีไม่มีปัญหาอะไรจนกระทั่งไปเล่นการพนันอเมริกันฟุตบอลเล่นโดยไม่ได้ตั้งใจ ไปอยู่อเมริกาหลายปีดีดักไม่เคยดูเกมส์เพราะไม่ชอบ ไม่รู้ว่าเขาเล่นยังไงมีกฎกติกายังไง มีซาตานมาชวนผมเล่นบ่อยๆผมก็ไม่เคยสนใจ มาพูดคุยว่าแทงบอลถูกได้มากอย่างนั้นอย่างนี้ผมก็ไม่อิจฉา ชวนผมเล่นถึงขนาดบอกให้แทงปากเปล่าเสียไม่ต้องจ่ายก็ได้ผมก็ไม่สนใจ มีอยู่ครั้งหนึ่งผมมีงานปาร์ตี้ที่บ้านก็มีการเล่นพนันไพ่กันคือเล่น Poker แบบไทยหรือที่เขาเรียกว่า “เผ” นั่นแหละคือไม่ใช้ไพ่ทั้งสำรับเกมส์นี้ผมเล่นเป็นตั้งแต่อยู่เมืองไทยแล้วอีกอย่างที่เล่นเป็นคือ “รัมมี่” ทั้งสองอย่างนี้เป็นเกมส์ที่ใช้สมองผมถึงเล่นแต่ไม่ได้เล่นแบบหาเงินหาทองมากินมาใช้ เล่นแบบสนุกๆไม่ได้เอาเงินกันมากมายอะไร วันนั้นผมเล่นเผได้กำไรมา 700 กว่าเหรียญก็นับว่ามากโขอยู่ทำงานเป็นอาทิตย์ถึงจะได้ ถ้าแรงงานขั้นต่ำก็ 3-4 อาทิตย์กว่าจะได้

วันต่อมาซาตานก็มาชวนให้แทงบอลอีกเซ้าซี้อยู่นั่นชวนให้ผมแทงบอกว่าหุ้นกันสามคนๆละ 400 เหรียญเสียก็เท่านั้นได้ก็อาจจะได้เป็นหมื่นเขาจะเป็นคนจัดการแทงเอง ผมเห็นว่าได้เงินจากการเล่นไพ่มา 700 กว่าจะเสีย 400 ก็ช่างมันเพราะมันไม่ใช่เงินที่เราไปทำงานหามาได้ ก็เลยตกลงเล่น สรุปแล้ว Weekend นั้นเสียไปเกือบหมื่นเหรียญ เขามาบอกว่าส่วนของผมนั้นสามพันเหรียญผมก็โวยวายว่าเสียเป็นหมื่นได้ยังไงไหนว่าถ้าจะเสียก็สี่ร้อยนั่นผมว่าผมให้ 400 เท่านั้นจะไปแทงเพิ่มทำไมไม่บอกกันก่อนแล้วผมจะเอาเงินที่ไหนให้ เขาก็ว่าที่แทงเพิ่มก็เพราะอยากได้มากหวังรวย ต้องเอาเงินไปจ่ายให้ Bookie (เจ้ามือ) ถ้าไม่เอาไปจ่ายเขาจะโดนเล่นงานอย่างนั้นอย่างนี้ ในที่สุดผมก็ใจอ่อนจะจ่ายให้แต่จะไปเบิกเอาเงินในบัญชีธนาคารมาไม่ได้เพราะเดี๋ยวภรรยาผมรู้จะต้องเดือดร้อนแน่ๆ ผมจึงไปกู้ Personal Loan ที่ธนาคารมา 2,500 เหรียญ+กับเงินที่มีอยู่ให้เขาไป แล้วผมก็ต้องเล่นต่อเพื่อที่จะหาเงินมาใช้หนี้ที่กู้มานั้นโดยไม่ให้ภรรยารู้ ท่านผู้อ่านอาจจะมีคำถามว่าทำไมผมถึงยอมเล่นยอมจ่าย เอาเป็นว่าเพราะเป็นคนอันเดียวกันก็พอนะผมไม่อยากสาวความถึงพวกเขา สรุปแล้วปีนั้น (1979) ก็ไม่ได้ไม่เสียอะไรเล่นได้บ้างเสียบ้างไม่กี่อาทิตย์ก็หมด Season

จากที่ไม่รู้อะไรเลยเกี่ยวกับเกมส์ ต่อมาผมก็เรียนรู้ พอถึงปี 1980 ก็เริ่มเล่นใหม่ผมแทงบอลทั้ง College (บอลมหาวิทยาลัย) ทั้ง Pro (บอลอาชีพ) แทงทีเป็นหมื่นเหรียญต่ออาทิตย์แทง College วันเสาร์แทง Pro วันอาทิตย์ เสียวันเสาร์ก็จะมาแทงเอาวันอาทิตย์ถ้าเสียทั้งเสาร์อาทิตย์ก็จะมาแทงเอาคืนวันจันทร์ที่เขาจะมีคู่พิเศษถ่ายทอดสดทุกวันจันทร์ตลอด Season

แปลกนะครับผมแทงเสาร์อาทิตย์ไม่เคยได้มีแต่ติดลบตลอด แต่ผมมาตีคืนเอาคืนวันจันทร์คือแทงเท่าที่เสียไปถ้าได้ก็เจ๊ากันไปถ้าเสียก็จ่ายหนักเข้าไปอีก 10 อาทิตย์ติดต่อกันที่ผมต้องมากู้คืนเอาคืนวันจันทร์คือถูกทุกงวดจนเจ้ามือถามว่าไปทีเด็ดมาจากไหน ถ้าจะแทงเอากำไรผมก็คงจะได้บ้างแต่ผมแทงเอาเท่าที่เสียไป บอลถ่ายทอดอย่างคืนวันจันทร์นี่ผมจะไม่แทงว่าทีมไหนจะชนะผมจะแทงว่าแต้มจะออกสูงหรือต่ำโดยผมจะเอาประวัติของทั้งสองทีมมาดูว่าเคยเล่นเจอกันมากี่ครั้งแต่ละครั้งได้แต้มรวมเท่าไหร่แล้วก็เอาคะแนนทั้งหมดมารวมกันแล้วก็เอาจำนวนครั้งมาหารได้แต้มเฉลี่ยออกมาเท่าไหร่ผมก็จะเอาแต้มนั้นมาเป็นตัวกำหนดว่าเจอกันครั้งนี้จะแทงสูงแทงต่ำ คือสมมุติว่าผมได้แต้มเฉลี่ยมา 42 หากครั้งนี้เจ้ามือออกแต้มสูงต่ำมา 37 ผมจะเอา 3 ไปบวกมันก็จะเป็น 40 คือมันต่ำกว่าแต้มเฉลี่ยผมก็จะแทงสูง ถ้าหากเจ้ามือกำหนดแต้มมา 47 ผมก็จะแทงต่ำ สรุปแล้วคือไม่ว่าเจ้ามือจะออกแต้มอะไรมา ผมจะเอาสามไปบวกหรือลบกับแต้มนั้น ถ้ามันน้อยกว่าแต้มเฉลี่ยที่ผมคิดมาผมก็แทงต่ำถ้าเกินผมก็จะแทงสูง จริงๆแล้วผมคิดว่าผมบ้ามากกว่าและก็บังเอิญมันถูกเท่านั้น

ใครที่เล่นการพนันฟุตบอลมาจะรู้รสชาติถึงพิษของมันดี ที่ต้องลุ้นหรือภาวนาให้แต้มมันออกมาอย่างไร ทีมไหนชนะ ดูบอลไปหัวใจจะวาย ใจหายใจคว่ำถ้าทีมที่เราเล่นเป็นรอง ผมนี่ถึงขนาดบนบาลเจ้าพ่อเจ้าแม่ให้ช่วยลูกช้างด้วยถ้าเสียจะต้องตายแน่ๆเลย ขนาดอุ้มลูกไปเชียร์บอลไปยังบอกลูกเลยว่าช่วยภาวนาให้พ่อชนะด้วยนะลูกนะ...ทั้งๆที่ลูกไม่รู้เรื่องอะไรเลย...ดูสิการพนันมันทำให้คนบ้าได้ขนาดไหน

ช่วงที่ผมเล่นช่วงนี้ภรรยาผมเขาก็รู้แล้วว่าผมเล่นแต่เขาไม่รู้ว่าผมเล่น “หนัก” เวลาผมโทรไปแทงทีมนั้นทีมนี้กับเจ้ามือบอกแทงเท่าไหร่จะต้องคูณด้วย 10 อย่างสมมุติว่าจะแทง 500 ผมก็บอกว่าแทง 50 สิบหนก็หมายถึง 500 ทั้งนี้เป็นเพราะภรรยาผมเขานับเลขไทยเป็นเขาก็คิดว่าผมแทง 50 เพราะเขาไม่รู้ว่า 10 หนคืออะไร เมื่อเจ้ามือเขาทวนการแทงเขาก็จะบอกจำนวนเต็มที่ผมแทงไปหากถูกต้องเราก็ยืนยันตามนั้น

ชีวิตในช่วงนั้นไม่ได้คิดอะไรเพื่อความก้าวหน้าในชีวิตเลย คิดอยู่อย่างเดียวอยากจะแทงให้ได้เงิน ไปทำงานก็ไปแบบ Routine ต้องคอยอ่านข่าวดูว่าใครจะเล่นกับใครที่ไหนเวลาอะไรจะได้ติดตามถูก

ก็อย่างที่บอกไว้ ผม “ล้างหนี้” ที่แทงเสียได้ทุกคืนวันจันทร์ 10 อาทิตย์ติดต่อกันจนเจ้ามือถามว่าไปได้ทีเด็ดจากไหน ผมก็ไม่ได้บอกเขาว่าผมทำยังไงก็ได้แต่หัวเราะแล้วบอกว่ามันบังเอิญ อาทิตย์ต่อมาก็เสียอีกตามเคยก็ไปรอลุ้นเอาคืนในวันจันทร์ “ซาตาน” ที่ชักนำผมเล่นเขาบอกว่าวันนี้ให้แทงเอารวยไปเลยคือไม่แทงล้างหนี้อย่างเดียวให้แทงเอากำไรด้วย ผมแทงถูกวันจันทร์ทุกงวดไม่ต้องกลัว “โลภมากลาภหาย” ก็เลยเกิดขึ้นผมถูกเจ้ามือกินเสีย 15,000 เหรียญก็ไปเบิกเอาจากบัญชีออมทรัพย์ที่ผมมีอยู่เกือบสี่หมื่นเหรียญให้เขาไปโดยที่ภรรยาไม่รู้เพราะเป็นเงินที่ผมสะสมมาเองตั้งแต่ก่อนแต่งงาน

งวดต่อมาผมเสียอีกเกือบสองหมื่นเหรียญผมก็เอาไปจ่ายเขา ตกลงเงินที่ผมสะสมมาหลายปีเกลี้ยงไปในเวลาสองอาทิตย์ ถึงมันจะเกลี้ยงผมก็ยังแทงได้อยู่เพราะเครดิตผมดี เสียสองงวดติดๆกันหนักด้วยผมก็ไปจ่ายให้ เจ้ามือก็รู้ว่าผมอยู่ที่ไหน ทำงานอะไร อารามที่ผมอยากจะได้เงินคืนก็ต้องเล่นแบบเสี่ยงเอา ถ้าได้ก็ดีถ้าเสียก็จะเป็นหนี้เขาเพราะจะไม่มีเงินจ่าย แต่ตอนนั้นก็ไม่คิดว่าจะเสียรู้อย่างเดียวต้องเล่นให้ได้เพื่อเอาเงินคืน แต่แล้วมันไม่ได้คืนเสียไปอีก 17,000 เหรียญจะทำยังไงล่ะทีนี้ปัญหามันก็มาเร้ารุมสุมอกไม่มีเงินจ่ายให้เจ้ามือจะต้องมีเรื่องแน่ๆ จะหนีก็หนีไม่ได้ ชีวิตในตอนนั้นมันเลวร้ายเหลือเกินใครที่เคยเจอมาถึงจะรู้รสชาดว่ามันเป็นอย่างไร กินไม่ได้นอนไม่หลับ กลัวก็กลัวไม่รู้จะหาทางออกยังไงถึงกำหนดจ่ายก็บอกเขาให้รอวันสองวันก่อน ก็บอกไปอย่างนั้นแหละรู้อยู่ว่ายังไงก็ไม่มีเงินให้เขา

ในที่สุดผมก็ไปหาเจ้ามือมีอยู่สองคนที่ผมแทงด้วยคนหนึ่งผมติดเขา 10,000 อีกคนหนึ่ง 7,000 ผมบอกเขาว่าผมสิ้นเนื้อประดาตัวแล้วไม่มีเงินที่จะจ่ายให้ได้ผมขอผ่อนจ่ายก็แล้วกันแต่ต้องเว้นระยะไปสักพักหนึ่งก่อนคือแบบไม่ต้องไปรังควาญผมถ้ามีเมื่อไหร่ผมจะโทรเรียกมาเอาเอง ตอนนี้จะให้ผมขายทรัพย์สินอะไรมาใช้หนี้ผมทำไม่ได้ จะให้ครอบครัวมาเดือดร้อนกับความเลวของผมไม่ได้

คนที่ผมติดหมื่นหนึ่งนั้นเขาก็ใจนักเลงพอเมื่อผมพูดตรงๆเขาก็บอกโอเค อีกคนที่ผมติดเขา 7,000 นั้นเขาบอกให้ผมเขียนเช็คค้ำประกันไว้ (ไอ้นี่ผมเคยช่วยเหลือมันเมื่อมันเดือดร้อนปางตาย หาการหางานให้ทำด้วย) เขาจะไม่เอาไปขึ้นเงินหรอกเพียงแต่เขาจะเอาไปโชว์ให้เจ้ามือรายอื่นที่เขารับแทงของผมแล้วไปแทงต่อว่าได้เงินมาเป็นเช็คยังขึ้นเงินไม่ได้ ผมก็เลยโอเคเซ็นเช็คให้ ที่ไหนได้เขาเอาเช็คไปขึ้นเงินเช็คมันก็เด้งแล้วเขาก็ไปฟ้องผมว่าเขียนเช็คเด้งผมก็ต้องขึ้นโรงขึ้นศาล ในใจผมก็คิดว่าดีละเมื่อมาฟ้องกันอย่างนี้จะไม่ใช้ให้เลย ผมก็ตั้งทนายสู้คดีว่าหนี้สินอันนี้มันเกิดมาจากการพนัน เขาบังคับข่มขู่ให้ผมเขียนเช็คให้เขาถ้าไม่ทำจะทำร้าย เขาเป็นเจ้ามือรับแทงบอล เขาไม่มีหลักฐานว่าผมให้เช็คเขาไปว่าเพื่ออะไร ค่าอะไร สัญญากู้ยืมก็ไม่มี มีแต่เช็คสั่งจ่ายเฉยๆ ผมชนะคดีไม่ต้องจ่ายเพราะหนี้สินอันเกิดจากการพนันไม่ต้องจ่ายอยู่แล้วจะฟ้องร้องบังคับไม่ได้ผมก็เลยไม่ต้องจ่ายให้รายนี้ ก็ดีแล้วเงินเย็นไม่เอาจะเอาร้อนก็ต้องเจออย่างนี้ เขาไม่กล้าที่จะมาทำร้ายผมหรอก ถ้าทำเขาก็จะโดนเพ่งเล็งเป็นคนแรก

เงินเกลี้ยงแบ็งค์ ปัญหาต้องจ่ายเจ้ามือหมดไปแต่ปัญหาใหญ่ก็คือหากภรรยาผมรู้ว่าผมถอนเงินออกมาเสียการพนันจนหมดจะต้องมีเรื่องแน่ๆ ผมพยายามปิดบังเธอไม่ให้เธอรู้โดยการไปเช็คเมล์ก่อนเสมอหากมี Statement จากแบ็งค์ส่งมาผมก็จะเอาไปซ่อนเสีย บัญชีนี้เป็นบัญชีออมทรัพย์มีชื่อผมคนเดียว มีอยู่วันหนึ่งภรรยาผมไม่ได้ไปทำงานแล้วจดหมายจากแบ็งค์ก็ดันมาวันนั้นเสียด้วย ความก็เลยแตก เราก็ทะเลาะกันตามทำเนียม ผมไม่ได้ทะเลาะเอาถูก ผมทะเลาะเพื่อขอโทษที่ผิดไปแล้ว ในที่สุดผมก็บอกภรรยาผมว่า “ถ้าคุณอยากจะให้ครอบครัวเราแตกแยกด้วยเรื่องนี้ก็ตามใจ จริงๆแล้วเงินนี้มันก็เป็นเงินผมที่มีมาก่อนแต่งงานกับคุณ ถ้าคุณคิดว่าคุณลืมมันได้เรามาตั้งหลักใหม่ เงินน่ะพอจะหาได้อยู่ และผมก็จะเลิกเล่นการพนันอย่างเด็ดขาด” เจอเข้าไม้นี้ภรรยาผมก็ไม่รู้จะพูดอย่างไร ถ้าเธอไม่ยอมรับก็หมายถึงว่าเราต้องเลิกกัน เมื่อเธอยอมรับชีวิตเราก็ดำเนินต่อ

ตอนต่อไป.....กลับไปทำงาน 2 job ใหม่ กลับเมืองไทยครั้งแรกหลังจากที่จากมาแล้วเกือบสิบปี เริ่มค้าขาย ชีวิตหักเหอีกครั้ง บ้านหลังที่สองที่สวยเหมือนวัง

เชิญติดตามตอนต่อไป...ได้ที่นี่ครับ

@ ตอนที่ 8...กลับไปทำงาน 2 job ใหม่ กลับเมืองไทยครั้งแรกหลังจากที่จากมาแล้วเกือบสิบปี เริ่มค้าขาย ชีวิตหักเหอีกครั้ง

San Diego ,California , U.S.A.


By akausa: เมื่อวานนี้วันอาทิตย์ไม่ได้ไปไหนก็เลยทำงานบ้าน ทำความสะอาดบ้านและบริเวณบ้านไปด้วย

ก็ไปเจอคางคกตัวนี้ ตัวใหญ่มาก...ออกมานอนใกล้ๆก๊อกน้ำ...คงอาจจะร้อน...

เคยเห็นเจ้าตัวนี้มานานแล้วตั้งแต่ยังไม่โตเท่านี้...ปกติเขาจะอยู่แถวครัวหลังบ้าน หายไปพักหนึ่งเพราะเคยโดนน้องตาลเพื่อนหมาของผมไล่...หายไปสองเดือนได้แล้วมั้ง...นึกว่าตายไปแล้วเสียอีก...ดีใจที่ได้เห็นอีกครั้ง

เพื่อนๆที่บ้านผมต่างก็สุขสบายดี ทั้งคุณอึ่งอ่าง น้องตาล แม้แต่กิ้งก่าที่เกาะรถผมมาจากตลาด

ตอนนี้เห็นกิ้งก่าหลายตัวในบริเวณบ้าน ส่วนมากจะอยู่บนต้นไม้ ลงมาพื้นดินไม่ค่อยได้เพราะ "น้องตาล" ไล่

สองวันก่อนก็มีลูกนกกระจอกตกมาจากรัง คงจะหัดบิน ผมก็ไปจับมาเล่น แล้วก็ปล่อยไป รุ่งขึ้นอีกวันก็หายไปแล้ว

ทุกวันนี้นอกจากอ่านประชาทอล์คหรือเขียนอะไรโพสต์บ้างแล้วผมก็มีความสุขอยู่กับสัตว์ที่มาอาศัยอยู่ในบริเวณบ้าน...มันก็ทำให้ลืมทุกข์และคลายเครียดไปได้บ้าง

สำหรับเรื่องชีวิตในอเมริกาของผม...จะพยายามเขียนต่อ...ที่ขาดหายไปเพราะยังไม่มีสมาธิพอ...

เอารูปคุณ "อึ่งอ่าง" มาให้ดู...ผมจับเล่นได้สบายแล้วครับ...เขาไม่กลัวผมแล้ว...

12 มี.ค.2555


Comment...

By ปลาแดก: ปี 1972 เวลานั้น หนูน้อยปลาแดก เพิ่งจะอายุ 5 ขวบ ยุคนั้น สงครามเวียดนาม .. กะ เมกา กำลังมันส์เลยน้อ ..

By akausa: ครับก็กำลังรบกันอย่างดุเดือด....

จีไอในเมืองไทยสมัยนั้นกินอยู่อย่างราชาในบ้านเราด้วยเงินเดือนพลทหารเดือนละ 400 กว่าเหรียญ

เมื่อปี 1979 มีจีไอคนหนึ่งที่เคยมาอยู่เมืองไทย ไปสมัครงานที่ผมทำอยู่ แผนกที่ผมอยู่ผมมีตำแหน่งเป็น Boss เจ้านี่มันเห็นผมเป็นคนไทยมันไม่ยอมทำแถมยังไปบอกคนในบริษัทว่า "There are no way that I am gonna work under him" ผมก็เลยบอกว่า.."Good...then let him go hungry..."

เจ้านี่หยิ่งและจองหองไม่เข้าท่าผมจะจ่ายให้เขา $4.50/ต่อชั่วโมงทั้งๆที่แรงงานขั้นต่ำในขณะนั้น $3.25/ชั่วโมงเท่านั้น

หากผมรับคนไทยเข้าทำงานผมยังจ่ายแค่ $4.00/ชั่วโมงเอง (เพราะอ่อนภาษา..แหะๆ)

By songvit: 1972 คงราวๆ ยี่สิบ ปีนี้ 2011 ขอคารวะครับ

By akausa: ผมคิดว่าคุณ songvit หมายถึงว่าเมื่อปี 1972 ผมคงราวๆ 20 ปีก็เดาได้ดีครับ..

ปีเดียวกับทักษิณครับแต่เขาแก่เดือนกว่า...เคยเรียนที่มงฟอร์ตเชียงใหม่รุ่นเดียวกันแต่คนละห้องครับ

By Spfc: ผมไปปีเดียวกับคุณเลย แต่ผมไปเดือน มิถุนายน... เมืองแรกเลยคือเมือง Lawndale ติดกับ Hawthorne จำได้เลยว่าครั้งแรกตอนไปถึงไม่กี่วัน พวกพี่ไปทำงานเหลือเราคนเดียว หิวก็เลยเดินไปซื้อ hamburger ที่ Burger King, ต้องเดินข้ามถนน ไอ้เราก็ติดนิสัยเดินข้ามถนนเมืองไทย ก็แบบสบายๆสไตล์ไทยๆ ก็พอเห็นรถว่างแถมไม่ใช่ทางม้าลาย พอเราเอาเท้าเหยียบถนนเท่านั้นแหละ โอ้โห รถทุกคันหยุดหมดให้เราข้ามถนน ยังคิดในใจเลยว่าคนที่นี่มีมารยาทเสียจริงๆ พอไปเล่าให้พี่ชายฟัง เขาบอกว่าเรานี่โชคดีไม่โดนตำรวจออกใบสั่งให้เพราะเราทำผิดกฎหมาย

By akausa: 55555.......ใช่ครับถ้าตำรวจเห็นก็ซิวคุณเลยอย่างที่พี่คุณว่า

ผมนะ...ขับรถตีสามแล้วเปลี่ยนเลนโดยไม่ได้เปิดไฟกระพริบ ตำรวจไม่รู้มาจากไหนตามหลังมาเลย ส่งสัญญาณให้จอดแล้วก็เขียนใบสั่งให้ตามระเบียบ

By ลิเกหลังม่าน: ผมจะตามอ่านครับ... คุณอาข่าข้ามน้ำข้ามทะเลอยู่อเมริกามาตั้งสามสิบปีต้องพบเห็นอะไรมาเยอะ...ถือว่าแบ่งปันประสบการณ์และความรู้นะครับ...

ความรู้จากตำราหาเรียนหาอ่านกันได้...แต่ความรู้จากประสบการณ์ชีวิตจริง...ถ้าเจ้าของเขาไม่แบ่งปันให้ก็หาที่ไหนไม่ได้นอกจากออกไปแสวงหาด้วยตัวเอง...ซึ่งใช่ว่าทุกคนจะมีโอกาสเหมือนกันครับ...

By ทิศเหนือ: รออ่านด้วย ตามเหตุผล คุณลิเกฯ...สมัยผมเรียน ปี๑.ยุคโน้น...เพื่อนห้องเดียวกันมันชวนไป อเมริกาด้วย...แต่ติดที่ไม่มีค่าเครื่องครับ มันไปได้สักหกเดือน ส่งรูปมาอวดเพื่อนๆที่ห้องเดียวกัน ยืนเต๊ะจุ๊ย คู่กับรถมัสแตงสีแดงเพลิง เท่ห์เป็นบ้าเลย อาชีพยุคโน้น ก็ เห็นบอกว่า...ล้างจานครับ

By akausa: ขอบคุณครับ..คุณลิเกฯ....เฮาเกยอู้กำค่าวกั๋น..จ๋ำได้ก่อ...55555 ขอบคุณคุณทิศเหนือด้วยครับ ที่เข้ามาให้กำลังใจ...

By ท้องฟ้าสีทอง: แล้วมาลงเอยที่ไส้อั่วได้ไงครับ

By akausa: กลายมาเป็นอดีตนักเรียนนอกตกยากที่เมืองไทยครับ....55555 เรื่องไส้อั่วนี้มีเบื้องหลัง...แล้วจะมาเล่าให้ฟังทีหลังครับ

By Sparker: คุณ Akausa ไม่รู้มีประสบการณ์ กับคุณเก (Immigration) บ้างปล่าว ผมเคยเจอมันมาเมามาโชว์ปืนตอนตี 2 ที่ปั๊มน้ำมันที่ผมเป็นแคชเชียร์ เฮอๆ เช้ามาไปลาออกกับ Manager ทันที ดีว่ามันไม่จับผม ไม่งั้นเรียนไม่จบถูกส่งกลับแน่

By akausa: ไม่เคยเจอครับ เพราะผมถึงจะทำงานหาเงินหนักผมก็ไปเรียนสม่ำเสมอช่วงที่ถือวีซ่านักเรียนอยู่น่ะ

เมื่อพี่สาวผมโอนสัญชาติเป็นอเมริกันแล้ว เขาก็ Apply Green Card ให้ผมเมื่อปี 1974 และมาได้เอาเมื่อปี 1976 ครับ

ก็นับว่าคุณโชคดีนะ ปกติแล้วถ้าเราไม่ไปทำงานที่มีคนต่างด้าวอยู่มาก อยู่แบบเงียบๆไม่สร้างปัญหาอะไร ก็จะไม่เจอคุณเกมารังควาญครับ

By ลุงพร: เรียน ท่านอาข่า

ถ้าจะเขียนครั้งเดียว แล้วขายกินได้ในอนาคต ให้จัดเตรียมหน้าสารบัญ เป็นขั้นเป็นตอนไปก่อนนะครับ เหมือนการเขียน ตั้งแต่ การเตรียมตัว เตรียมใจ ก่อนไปอเมริกา จนวันที่มานั่งขายไส้อั๊ว นี่แหละครับ

อาจมีสัก 30 ตอน ต่อเล่ม รวม 3 เล่ม แบบนี้ครับ เซฟเก็บเอาไว้นะท่าน หรือท่านนึกอะไรออก ชอบเขียนแบบนี้ จะเขียนได้ดีกว่า ก็เอา ตามใจ แต่วันหน้า มันขายกินได้เงินครับท่าน เอาไว้ใช้ยามแก่ครับ

แต่ว่าในแต่ละตอน ขอให้มีเกร็ดชีวิต สนุกๆ แปลกๆ น่าตื่นเต้น ด้วยเสมอ ขออนุญาต แนะนำตามนี้ จะดีมั้ย อย่าว่ากันนะท่านอาข่า ด้วยเจตนาดี ทำทีเดียว จบเลย ขายกินได้

By akausa: จะเอาอย่างนั้นเชียวรึ....ลุงพร...55555 ผมก็ไม่ใช่นักเขียนเสียด้วยเป็นแค่เล่าเรื่องที่ได้ประสพมาเท่านั้น มันก็หนักอยู่นะเอาเหตุการณ์ที่ประสพมาเกือบ 40 ปีมาเขียนเป็นเล่มเนี่ย จะลองพยายามดูครับ...ลุงพรต้องเป็นที่ปรึกษาผมนะ....55555

By microman: ขอบคุณ ที่เขียนมาให้อ่านบรรเทาเรื่องการเมืองไปได้บ้าง เขียนเล่าต่อไปนะครับ ประสบการณ์ในการดำเนินชีวิตของแต่ละคน ไม่ใช่เรื่องนิยายทั้งร้ายและดี มีประโยชน์มากหรือน้อยอยู่ที่ผู้อ่านจะเก็บเกี่ยวได้มากน้อยแค่ไหน ขอบคุณอีกครั้ง

By akausa: ขอบคุณสำหรับกำลังใจครับ

By xam: ผมอยากรู้ว่าทำไม เด็กอเมริกัน มันไปไกลกว่าเด็กบ้านเรา ยกตัวอย่างเช่น นายมาร์ค เฟสบุ๊ค ซึ่งคนไทยไม่น้อย ที่เก่งๆกว่า

By akausa: เด็กอเมริกันถูกพร่ำสอนให้รู้จักตัวเอง ให้รู้จักคิด รู้จักแสดงออก ไม่เหมือนเด็กไทยที่ถูกล้างสมองตั้งแต่เล็กให้ตามก้นผู้ใหญ่

เด็กไทยถ้าพ่อแม่ไม่รวยและคอยเกื้อหนุนแล้ว โอกาสที่จะรวยยากมาก

เด็กอเมริกันอายุไม่ถึง 25 รวยเป็นเศรษฐีเงินล้านด้วยความคิดความอ่านตัวเองเยอะมาก หลายรายยังไม่จบ มหาวิทยาลัยด้วยซ้ำ อย่างนายมารค์ เฟสบุ๊ค ที่คุณว่านี่ก็เหมือนกัน



By X-Files: ตอนที่พี่ไป ผมเรียนหนังสือชั้นประถมอยู่ครับ แต่ผมหาเงินเลี้ยงตัวเองได้ก่อนที่พี่จะไปเกือบสองปีได้ครับ จำได้ว่าหาเงินก้อนแรกได้ตอนอายุ 7 ขวบ จากนั้นก็หาเลี้ยงตัวเองเรื่อยมา อายุ 10 ขวบผมรับจ้างตักน้ำจากบ่อได้แล้ว สมัยนั้นหาบละ 25 สตางค์ นอกจากหาบน้ำแล้ว ผมยังรับจ้างซักผ้าด้วย ได้ค่าจ้างตัวละสลึงเหมือนกัน ช่วงค่ำๆ ในช่วงฤดูหนาวผมก็ไปช่วยทอดปาท่องโก๋เพื่อแลกกับน้ำเต้าหู้หนึ่งแก้ว บวกปาท่องโก๋อีกสองตัว เวลามีงานฤดูหนาวก็จะไปรับจ้างฝากรถกับพวกพี่ๆ ช่วงทำนาก็รับจ้างดำนา รับจ้างเกี่ยวข้าว รับจ้างตีข้าว ถ้าไม่มีงานให้ทำก็ไปเก็บขยะขายบ้าง รับจ้างดายหญ้าบ้าง ฯลฯ

ช่วงว่างๆ ระหว่างวันเวลาส่วนใหญ่หมดไปกับการอ่านหนังสือ นอกจากจะอ่านหนังสือเรียนของตัวเองแล้ว ผมยังต้องอ่านหนังสือเพื่อติวให้กับน้องสาวอีกด้วย

ถ้าผมเขียนเรื่องของผมบ้าง คงมีคนร้องไห้บ้างแน่ๆ ครับ สมัยเด็กๆ เรียกได้ว่าชีวิตบัดซบสิ้นดี แต่มาถึงวันนี้กลับรู้สึกดีใจที่ได้ผ่านเรื่องร้ายๆ มาก่อน และเป็นพื้นฐานของชีวิตที่ทำให้ผมเข้มแข็ง สามารถยืนอยู่สู้กับโลกได้มาถึงทุกวันนี้

สมัยเด็กๆ ผมเหมือนเป็นส่วนเกินของครอบครัว ทุกๆอย่างที่ได้มาต้องเอาหยาดเหงื่อและแรงงานเข้าแลกเสมอ ดังนั้นเรื่องรายได้มันไม่เคยมีคำว่า Extra สำหรับผมเลย ค่าขนมเหมือนไม่เคยได้ยินคำนี้ แต่ผมจะได้ขนมทานจากน้องสาวที่ผมสอนหนังสือมาตั้งแต่เด็กๆมากกว่า ตามที่เธอแบ่งปันให้

เงินที่หามาได้ส่วนใหญ่หมดไปกับเรื่องเรียน ค่าชุดนักเรียน ค่าหนังสือ ค่ารองเท้า ฯลฯ เงินที่เหลือมีบ้างที่เอาไปซื้อกางเกงยีนส์ที่อยากมีกับเขาบ้าง เคยซื้อลีวาย ซื้อ Lee แต่ก็ถูกขโมยไปหมด ช่วงหน้าหนาวก็อยากมีเสื้อกันหนาวสวยๆเหมือนคนอื่นบ้าง ก็เอาเงินส่วนที่เก็บเอาไว้นี่แหละครับหามา

ใครๆอาจจะไม่เคยรู้ว่าสมัยเด็กๆของผมมีข้าวทานได้สามมื้อนี่น้อยมาก ส่วนใหญ่จะแค่สองมื้อเท่านั้น มื้อเช้าจากหลวงพ่อแบ่งให้ทานกับเพื่อนสนิทที่เป็นเด็กวัด ส่วนมื้อเย็นก็ได้จากร้านอาหารที่ไปช่วยเป็นเด็กเสิร์ฟ ช่วยล้างจาน แล้วเก็บเอาเศษอาหารที่ลูกค้าทานเหลือมาเก็บไว้ทานตอนเย็น คิดถึงช่วงเวลานั้นแล้วเศร้าครับ

By akausa: คุณนี่ถ้าจะอายุยืนแน่ๆ เช้านี้ผมยังนึกถึงคุณอยู่เลย จู่ๆก็โผล่มา เขาว่าเวลาเรานึกถึงใครแล้วก็ได้ข่าวคนนั้นไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง เขาจะมีอายุยืน คุณเคยได้ยินอย่างนี้หรือเปล่า?

ตามที่คุณเกริ่นเรื่องชีวิตในวัยเด็กของคุณมา น่าสนใจมากครับ เอามาเขียนเล่าบ้างสิ ผมเองก็เจอมาอย่างคุณเหมือนกันแต่ไม่ถึงกับต้องหาเงินมาเลี้ยงตัวเอง ไปหาเงิน Extra ก็เพื่อที่จะได้มี Extra ไปซื้อขนม ซื้อของที่อยากกินที่พ่อแม่ให้จำกัด

ชีวิตเราคงคล้ายๆกันนะเพราะเป็นเด็กบ้านนอกเหมือนกัน ผมดันไปเติบโตจริงๆในสหรัฐโน่น หากไม่ได้ไปป่านนี้ผมคงมีตำแหน่งเป็นผู้ใหญ่บ้านหรือกำนันแล้ว....55555

By Boy: สงสัย เรื่องชื่อ คุณ akausa ยิ่งบอกว่าเรียนที่มงฟอร์ตเชียงใหม่ ด้วย ยิ่งสงสัย แต่เกรงว่า จะเสียมรรยาท ต้องขออภัยล่วงหน้าก่อนก็แล้วกัน คือไม่ทราบว่า เป็นชาวอาข่า หรือเปล่า?

By akausa: ผมไม่ได้เป็นชาวอาข่าครับ ปกตินามปากกาผมคือ akausa อ่านว่า เอเคเอยูเอสเอ แต่มีผู้อ่านมาเรียกผมว่า อาข่า..ผมชอบก็เลยปล่อยเลยตามเลย

ส่วน aka ในภาษาอังกฤษนั้นหมายถึง คำว่า Also Known As และเป็นอักษรย่อของคำหลายๆคำ ตอนจะตั้งชื่อล๊อกอินครั้งแรก ผมนึกคำต่อท้ายไม่ได้ก็เลยใส่ usa ลงไป ก็เลยกลายเป็น akausa หรือบางคนเรียกผมว่าอาข่า...มาจนบัดนี้

By ketchup: โอ๊ย...คุณอาข่า เขียนได้ถูกใจมาก โดยเฉพาะเรื่องของ Annette เกือบเหมือนของ ketchup เลยตรงที่เขียน จ.ม.ติดต่อกันตั้ง 9 ปี 10 ปี ในที่สุดรักแท้ก็แพ้ระยะทาง ของ ketchup อยู่ถึงตะวันออกกลางโน่น ในที่สุด ketchup ก็เลยมาเมกานี่แหละ โห.. อย่างนี้ก็ต้องหาเวลาเข้ามานี่ทุกวันอีกแระ

By akausa: กลายเป็นว่าเรามีรักคุดเหมือนกัน....55555 แต่ของผมต้องโทษตัวเองเพราะเขาจะมาอยู่ด้วยที่อเมริกาแต่ผมห้ามเพราะยังไม่พร้อมกลัวจะเทคแคร์เธอไม่ได้ คือผมลิขิตชีวิตตัวเอง...แต่ก็ดีแล้วหละเธอคงมีชีวิตที่สุขสบายดีกว่ามาได้กับผมแน่ๆ.......

By มนต์อ้ายผาแดง: สรุปในตอนสุดท้าย ว่า จากกัน 10 ปี นารี เป็นอื่น เฮ้ออออออออออ

By akausa: กรณีนี้ผมไม่คิดอย่างนั้นครับ.... ผมสิแย่กว่าเธออีก...ทั้งๆที่มีเธอเป็นคนรักแล้วผมก็ยัง "มั่ว" ไปเรื่อย

By ดวงจันทร์: ผู้ชาย...ร้อยลิ้น

By ketchup: ใช่...นารีเค๊าไม่ได้เป็นอื่นนะ แต่เขาคอยให้คุณอาข่าตอบรับเขามาอยู่ด้วย รู้มั๊ยว่าเขาน่ะรอคอยอยู่ด้วยความหวัง ทุกครั้งที่เขาเปิด จ.ม.ของคุณอาข่าอ่าน เขาคงอยากเห็นคำว่า YES แต่คุณอาข่าใจร้ายยยย

By akausa: นึกแล้วจะต้องมีคนว่า....คุณดวงจันทร์,คุณketchupครับ....ผมไม่มีข้อแก้ตัวอะไรทั้งนั้น.....55555 ถ้าการกระทำนั้นเป็นการใจร้าย แต่เป็นความหวังดีของผมที่ไม่อยากให้เธอมาลำบากกับผม

ผมเติบโตมาในช่วงที่ผู้ชาย "ต้องพร้อม" ที่จะแต่งงานมีครอบครัว มีบ้าน มีการงาน มีทรัพย์สินพอที่จะมาดูแลภรรยาได้ ความคิดอย่างนั้นมันยังฝังในหัวผมอยู่ ผมจึงต้องกลายเป็นคน "ใจร้าย"..อย่างที่คุณว่า...55555

By แดงเข้ากระดูก: เราก็แฟนขับของคุณอาข่า แอบติดตามมานานมาก ชื่นชมมาตลอดมาได้อ่านเรื่องจริงไม่ได้อิงนิยายของคุณแล้วขอบอกว่ายอดเยี่ยมเกิดมาคุ้มค่า และยังมาแบ่งปันประสบการณ์ในต่างแดนให้เพื่อนได้ความรู้ไม่มากก็น้อย

ชีวิตใน usa ทุกคนที่อยู่ในประเทศนี้มีเรื่องดีๆร้ายๆสนุกและเศร้า น่าเล่าสู่กันฟังมาก แต่ก็ยากที่จะบรรยายออกมาเป็นตัวอักษรนะ บางครั้งกาลเวลาทำให้เรียบเรียงเรื่องได้ไม่ดีเท่าที่ควร แต่คุณอาข่าเล่าให้เห็นภาพแม้แต่คนที่อยู่ในเมกาขณะนี้ก็มองภาพออก

เราก็อยู่เมกานานยี่สิบปีเรื่องเล่ามีเยอะแต่จับต้นชนปลายไม่ถูก รู้แต่ว่าเมกาเป็นบ้านหลังที่หนึ่งไปตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ ติดกับความสะดวกกับการปกครองของรัฐบาลที่ไม่กดขี่ขมเหงประชาชน กฎหมายมาตรฐาน ถ้าประเทศไทยของเราได้แค่หนึ่งส่วนของเมกา บ้านเราคงน่าอยู่ที่สุดในโลก ที่แน่ๆเราก็รักเพื่อนคนไทยโดยเฉพาะคนเสื้อแดงทุกคนที่เสียสละทุกอย่างเพื่อประชาธิปไตยที่ไม่มีนามสกุล

By akausa: คุณแดงเข้ากระดูกนี่ถ้าจะแดงเข้ากระกระดูกจริงๆ คุยเรื่องผมเรื่องการเขียนอยู่แท้ๆ ยังวกเข้าการเมืองจนได้....55555 ขอบคุณที่ติดตามอ่านครับ

By กระทงทุ่ง: ว่าจะไม่เขียน จะอ่านเฉยๆ แต่อ่านไปอ่านมา สำนวนลีลาของลุงอาข่า ไม่เบา ไม่เขียนชม ดูจะใจดำไปหน่อย...ขัดเกลาอีกนิด ทม ยันตี พนมเทียน ขอดูตัวแน่นอนครับ

By akausa: ขอบคุณสำหรับคำชม...ผมก็เขียน(พิมพ์)ไปตามเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นและนึกขึ้นได้ และเรื่องทุกอย่างเป็นเรื่องจริงครับ มันจึงเขียนง่ายหน่อยคือไม่ต้องพล็อตเรื่อง

By Willy: ม่วนขนาด แต้ๆเลยอ่ะ... เรื่องสาว มาเลย์ (ปีนังของคุณ) นี่คล้ายกัน เรื่องหัวใจรักของคุณเธอโดยเฉพาะจีนมาเลย์ ถ้ารักแล้วรักเลย และไม่มีวันลืมเรา ขนาดแต่งงานไปแล้วคุณเธอก็ยังฝังใจ ขนาดย้ายที่อยู่ (ใน กทม.) คุณเธอยังตามหาผมจนเจอเลย ไม่รู้ว่าเธอสืบแบบไหน (แม่เธอให้เธอแต่งงานหลังจากทราบว่าผมมีครอบครัวแล้ว จนเธอมีลูกสาว 1 คน ตอนพบกันครั้งแรกเธอมาเรียนตัดผมที่มนูศักดิ์ ซึ่งดังมากในสมัยนั้น) แม่บ้านผมเหล่ซะตาถลนตอนที่เธอตามหาผมจนเจอ แหะ..ๆ ผมแอบให้เงินเธอไปประมาณแสนกว่าบาทช่วยเธอเปิดร้านทำผมกับน้องสาวเธอที่ปาร์ดังฯ ชื่อ SAYANG SISTER (ตอนนั้นผมทำงานอยู่ IBM เงินเดือนโขอยู่ คุณสุรพงษ์ โตวิจักรกุล เข้ามา ได้ 1 ปี ผมก็ออกไปทำธุรกิจ Software ส่วนตัว ผมยังเจอท่านนายกฯทักษิณฯบ่อยๆ (แย่งลูกค้ากัน) ตอนนั้นท่านกำลังเปิด บ.ชินวัตร คอมพิวเตอร์) ต้องเลิกติดต่อเธอคือไม่อยากให้ครอบครัวเธอและผมแตกแยก เพราะเธอชวนผมหนีไปอยู่ แคนาดาด้วยกัน ต้องตัดใจ (ผมผิดเองที่ไปยุ่งกับเธอ) เธอชื่อ แครอล..

โทษทีมันไม่เกี่ยวกับการไปอยู่ อเมริกา หรือเรื่องของคุณ akausa เลย แต่พอพูดถึงสาวมาเลย์ มันแปล๊บ..ขึ้นมาจนอดคิดถึงเธอไม่ได้

By akausa: ไม่เห็นต้องขออภัยอะไรเลย ดีเสียอีกที่เอาเรื่องราวในชีวิตที่ประทับใจมาแชร์กัน เว็บนี้เป็นเว็บสังคมไม่ใช่หรือแล้วเราก็มาสังคมกันที่นี่ เรื่องของคุณสนุกดีวันหลังเขียนมาเล่าอีกนะครับ

By ลิเกหลังม่าน: ชีวิตจริงไม่ใช่อิงนิยาย...ถ้าเป็นนิยาย...คงจบแบบ happy ending...ทั้งหมาทั้งคน...แบบ...they live together happily, ever and ever...

ขอบคุณครับ...คุณอาข่า...สำหรับภาพชีวิตที่เอามาย้อนฉายแบ่งปันให้เพื่อนร่วมบอร์ดอย่างผมได้เก็บเกี่ยวความคิด...

By akausa: ถ้าคิดว่าไม่ไร้สาระก็เป็นพระคุณยิ่งแล้วครับคุณลิเกฯ

By X-Files: ถ้าผมไปโยนโบว์ที่พี่ทำงานอยู่ แล้วเครื่องมันกินลูกโบว์ลิ่งของผมจนผิวมันเป็นรอยนะ ผมเอาเรื่องพี่แน่ๆ 555

ผมเคยเล่นโบว์ลิ่งอยู่ประมาณ 8 ปี Style การโยนคล้ายๆ Parker Bone III ด้วยนะ ช่วงรุ่งๆ สราวุฒิ มณีรัตน์ อดีตนักโบว์ลิ่งทีมชาติยังเอาชนะผมยากเลย 555 (ขี้จุ๊) เคยใฝ่ฝันว่าจะเข้าเป็นตัวแทนทีมชาติไทย แต่โยนไปโยนมาก็รู้สึกเสียดายเงิน สมัยก่อนผมโยนวันละ 20-30 เกมส์ต่อวัน ค่าเล่นเกมละ 25 บาท ผมเล่นทุกวัน ลูกโบว์ลิ่งต้องเปลี่ยนทุกๆ 3 เดือน พอเปลี่ยนลูกใหม่ ลูกเก่าก็เก็บเอาไว้แบบว่าจะขายก็เสียดาย สุดท้ายมันกองเต็มบ้านไปหมด น่าจะเกือบ 30 ลูกได้มั๊ง พอวันหนึ่งคิดได้ก็เลยเลิกเล่นโบว์ลิ่งไป ส่วนลูกที่เก็บไว้ที่บ้านทั้งหมดก็โยนทิ้ง คือทิ้งแบบไม่เสียดายเลย ที่เก็บอยู่จนถึงวันนี้คือรองเท้า Dexter กับเหรียญรางวัลชนะเลิศที่เคยได้จากการแข่งขันโบว์ลิ่งนานาชาติที่สิงคโปร์

ผมเคยโยนได้สูงสุดที่ 299 เกือบสิบครั้ง แต่ก็มีสถิติที่จดบันทึกเอาไว้ว่า ผมโยนสไตร์สติดต่อกัน 17 ครั้ง 555 จะว่าไปแล้วผมโยนโบว์ที่เลนไม้ได้ดีกว่าเลยซินเทติคส์อีกนะครับ แต่เดี๋ยวนี้เลนไม้คงไม่มีแล้ว (มั๊ง)

ณ วันนี้ถ้าให้ผมซ้อมสัก 2-3 วัน average ของผมก็คงอยู่ที่ประมาณ 200+ อยู่นะครับ แต่เด็กรุ่นใหม่เดี๋ยวนี้มันโยนกัน average 230+ กันไปหมดแล้ว 555

By akausa: ผมก็จะไปตรวจเช็คหาสาเหตุก่อนว่ามันไปโดนอะไร รอยใหม่หรือเปล่า คนที่โยนในเลนคู่กับคุณมีลูกบอลใครเป็นบ้าง แต่ละรอยมันจะบอกถึงว่าโดนกับวัตถุอะไร ถ้าเกิดจากเครื่องแล้ว....ทางโรงโบว์ลิ่งก็จะซ่อมให้ถ้าแผลใหญ่มากซ่อมไม่ได้ก็เปลี่ยนใหม่ให้เลย

ถ้าโยนได้ 300 ใน league ในอเมริกา คุณจะได้แหวนจาก สภา Bowling Congress แต่เลนที่คุณโยนได้ 300 ในวันนั้นจะต้องมีเจ้าหน้าที่ จาก Congress มา Certified ก่อนว่าในขณะนั้น Condition ของเลนเป็นยังไงเช่นการลงน้ำมัน น้ำหนักของพินแต่ละลูก อายุการใช้งานของพิน ร่อง (Gutter) ข้างเลนตรงบริเวณที่ตั้งพินลึกเหมือนปกติไหม กระดานไม้ในร่องหลวมหรือเปล่า (ถ้าหลวมมันจะทำให้พินที่ตกลงไปกระดอนขึ้นมาใหม่ได้)

Score 299 ได้ 10 กว่าครั้งนี่ก็นับว่าไม่เลวครับ เชื่อไหมว่าผมไม่ชอบโยนเท่าไหร่ สูงสุดเคยได้แค่ 238 เท่านั้น เฉลี่ยก็ 140 เอง...55555

เลนไม้นี่จะต้อง Reserfacing ทุกๆ 2-3 ปีหรืออาจนานกว่านั้นหน่อยทั้งนี้ก็แล้วแต่การใช้งานและสภาพของเลน

ตอนเขาทำเลนโบว์ลิ่งใหม่ๆ ไม้ที่เขาเอามาตอกติดกันให้เป็นเลนนั้นจะมีความหนาประมาณ 3 นิ้วไม่ทราบว่าตอนที่ Invent หรือสร้างเลนครั้งแรกนี่เขาจะนึกถึงว่ามันจะสึกหรอต้องปรับผิวเลนอยู่เรื่อยๆหรือเปล่า การปรับผิวเลนแต่ละครั้งความหนาของไม้ก็จะลดลงไปๆจะเห็นตะปูที่ตอกไม้เชื่อมกัน (นี่ก็เป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ลูกโบว์ลิ่งมีรอยขีดข่วนได้)

ช่วงเลนระหว่าง Foul Line ไปจนถึงลูกศรชี้จะเสียหายมากกว่าเพื่อนทั้งนี้เป็นเพราะการโยนหรือการ Drop Ball ไม่เหมือนกัน บางคนปล่อยลูกให้กลิ้งไปเลย บางคน Drop ball ออกไป 3-5 ฟุตถึงจะตกลงพื้น ตรงนี้แหละทำให้เลนมีรอบบุ๋มเพราะน้ำหนักของลูก Ball ที่มีตั้งแต่ 8-16Lbs. ตกใส่ทุกวัน

การ Refinish และการ Resurfacing เลนจึงเกิดขึ้นเพื่อรักษาผิวเลนให้ราบเรียบอยู่ตลอด เลนไม้หากขัดผิวเลนไปเจอตะปูเยอะๆเมื่อไหร่เลนก็ใช้ไม่ได้แล้วครับ ซินเทติคส์ (Synthetics) เลนจึงเกิดขึ้นมาเพราะแก้ปัญหานี้ American Bowlers ที่โยนใน League หรือพวก Professional Bowlers ก็ไม่ชอบซินเทติคส์เลนเหมือนคุณ X-Files เหมือนกันครับ

รายละเอียดเรื่องการบำรุงรักษาเลนยังมีอีกมากครับ....

By ketchup: ตกลง Ricky เอาหมาไปให้ญาติเขาทั้งหมดเลยใช่มั๊ย ไม่ได้แยกกันใช่มั๊ย แล้วคุณอาข่าได้ไปเยี่ยมมันอีกหรือเปล่าค่ะ (OK คุณอาข่าไม่ใช่คนใจร้ายหรอก-เข้าใจแระ)

By akausa: ตั้งแต่นาย Ricky เอาไปผมก็ไม่เคยตามไปดูอีก เพราะไม่อยากกระเทือนใจอีก อีกอย่างหนึ่งจะถามไปที่บ้านเขาก็ดูกระไรอยู่ วัฒนธรรมไอ้กันมันไม่เหมือนของเราคุณ ketchup ก็รู้ นาย Ricky บอกว่าเขาเอาแม่มันไว้ (เพราะเขาก็เคยดูแลมันที่โบว์ลิ่ง คุ้นเคยกันอยู่) ส่วนลูกสองตัว น้องสาวเขาเอาไป

By crackedheel: อยากถามคุณ akausa หน่อยครับว่า ตอนนั้นเงิน1เหรียญ เท่ากับกี่บาทครับ และค่าแรงที่ได้ถือว่ามากหรือน้อย สามารถใช้ชีวิตได้แบบไหนครับ สบายหรือต้องประหยัดครับ

By akausa: ค่าของเงินตอนนั้น 1USD=20บาทครับ ตอนนั้นค่าแรงขั้นต่ำ $2.75/ชั่วโมง ผมจำราคาสินค้าบริโภคไม่ได้แต่จำได้ว่า ผมจ่ายค่าเช่า Apartment แบบ Studio สวยหรู $150/ต่อเดือน ถ้าจะเอาแบบ 2 ห้องนอนก็ $275-350/เดือนแล้วแต่สถานที่ครับ

ข้าราชการไทยวุฒิ ป.ตรี ตอนนั้นได้ พันกว่านิดหน่อย 1,050 อะไรนี่แหละต่อเดือน

ถึงทำงานได้ชั่วโมงละ 4 เหรียญ อาทิตย์ละ 160 หักภาษีเสีย ก็เหลือ 140 กว่านิดหน่อยคุณก็อยู่ได้ ไก่ตัวสดหนึ่งไม่ถึง 2 เหรียญ ไข่ไก่ แพค 12 ฟองไม่ถึง 1 เหรียญ เบียร์ 6 กระป๋องก็เหรียญกว่าเอง จำได้ว่าอาหารการกินถูกมากครับ

By อาด: ข้าราชการชั้นตรี ถ้าจบเทคนิค 750 จบปริญญา 900 จบปริญญาบางสาขา+ค่าวิชาอีก 150 บาท เช่นถาปัด ร้อยตาหาน แพทย์ดูเหมือนจะได้ 1,200 บาท (ยศข้าราชการพลเรือน จัตวา ตรี โท เอก พิเศษ)

อัตราแลกเปลี่ยนตายตัว 1usd=20thb มาเปลี่ยนเป็น 1usd=23thb, 1usd=25thb แล้วผันผวนเรื่องอะไรจำไม่ได้ เป็น 1usd=27-28.25thb สมัยตุ๊ดเฒ่า ดูเหมือน ดร.โกร่งเป็นรมว.คลัง

By akausa: ขอบคุณมากๆครับคุณอาดที่มาให้ข้อมูลนี้

ผมเคยถูก Jackpot เหมือนกัน ส่งเงินมาให้คุณพ่อผมเอาไปจ่ายค่าสินค้าที่เอาไปขายที่สหรัฐ (ถ้าติดตามอ่านตอนต่อๆไปก็จะรู้ว่าค้าขายอะไร) $20,000.00 (สองหมื่นเหรียญ) มาเจอตอนค่าของเงินเปลี่ยนจาก 20/1USD เป็น 25/1USD ได้เงินเพิ่มอีก 1 แสนบาทฟรีๆ เงินที่ได้จาก Jack Pot ผมก็ยกให้พ่อเสีย ให้พ่อลงบัญชีแค่ สี่แสนตามที่ส่งมา ตอนนั้นดูเหมือนจะเป็นปี 1983 หรือ 1984 นี่แหละ

ปี 2547 ขายบ้านเหลือเงิน 2 แสนเหรียญ กลับมาเมืองไทยแลกได้ 45บาท/1USD= 9 ล้าน ตอนนี้หมดตัวแล้ว.....55555

By Jutatip Verochanakorn: สวัสดีปีใหม่ค่ะ ยินดีที่ได้รู้จักค่ะ อ่านเรื่องไปอเมริกาแล้วชอบมาก เขียนต่อนะคะรออ่านอีกค่ะ วิจารณ์หนุ่มมะกันเยอะๆหน่อยค่ะอยากทราบค่ะทัศนะคติน่ะ ไทยกำลังเนื้อหอมขณะนี้ เศรษฐกิจเขากำลังไม่ดี กลัวสาวไทยโดนอำค่ะ

By แสงจันทร์ ปิ่นอนงค์: รอตอนใหม่..ขอบคุณ

By Anchalee Komlaiphert: รออ่านค่ะ

By Patidta Wisetbupha: เรื่องราวของคุณสนุกมากค่ะ ตอนต่อไปช่วยไปPostไว้หน้าบ้านหน่อยนะค่ะ ^^

By ketchup: เมื่อ Christmas ปิดร้านหนึ่งวันเพื่อนชวนไป Morongo ตอนแรกหยอดเสียไป $80 เลิก ไปเดินดูเขาเล่นกัน อดไม่ได้กลับมาหยอดใหม่ได้คืนมา $70 แล้วอยากได้คืนให้ครบเลยเล่นต่ออีก ก็เลยหมดตามระเบียบ อะค่ะ

By akausa: การพนันในบ่อนอย่างนั้นผมไม่ชอบครับ ถ้าผมจะเล่นผมเล่น Poker 7 cards Stud ครับเพราะพอมี Skill (ชั้นเชิง) อยู่ คนเล่นหยอดเหรียญส่วนมากจะเป็นอย่างคุณนี่แหละ....55555

มีนักการพนันคนหนึ่งก็มีสมุนคู่ใจคอยเตือนคอยเป็นกำลังใจ เวลานักพนันคนนี้ได้..สมุนคู่ใจก็เตือนให้เลิก..เขาก็ว่า "ไอ้..ห่.....กูกำลังเฮงจะให้กูเลิก" พอตอนเสียเขาเตือนให้เลิกก็บอกว่า "กูกำลังเสียจะให้เลิกยังไง" นิสัยคนเล่นการพนันจะเป็นอย่างนี้

By แดง ลาดพร้าว: การพนันผมก็เคยลอง จากที่ไม่เคยเล่นเลย มาเล่นเอาเมื่อรู้สึกว่าฐานะดีแล้ว แต่มันเหมือนมีผีสิง แปลกจริงๆ จะมัวเมาลุ่มหลงไปชั่วขณะเลย โชคดีที่ถอนตัวได้ ไม่เสียหายมากนัก

By akausa: ตั้งแต่เลิกเล่นมา...บอลผมไม่เคยดูเลย..ไม่สนใจด้วย

By คุณชายครับ: ดีนะที่ไม่พ่วง บาส กะ เบสบอล เข้าไปด้วย อิอิ มีทุกวันเลย เอิ้ก

By akausa: ถึงขนาดนั้นผมคงไม่เหลือความเป็นคนอย่างทุกวันนี้ละครับ....55555

By งงจัง: คุณ อาข่าเป็นคนสู้ชีวิตนะค่ะ ซึ่งส่วนมากคนเอเชียจะเป็นแบบคุณ ต่างกับคนเมกันส่วนมากไม่มีมีแม้แต่เงินเก็บสักบาท บางคนไม่มีรถ ไม่มีบ้าน ตกงานก็ต้องไปอาศัยอยู่กับเพื่อน หรือว่าญาติ

By akausa: ส่วนมากของคนอเมริกันที่คุณว่ามาก็จริง...เขามีโอกาสดีกว่าเราพวกต่างชาติเสียอีก..แต่ก็อีกน่ะถ้าไม่กระตือรือร้นมันก็จะเป็นแบบเช้าชามเย็นชามนั่นแหละครับ..ไม่ว่าคนชาติไหน ผมสู้เพื่อความอยู่รอดและก็เพื่อความก้าวหน้าไปสู่สิ่งที่ดีกว่าในชีวิต ไม่อยากหยุดอยู่กับที่ด้วยครับ

By งงจัง: ที่คุณอาข่าว่ามาก็จริง ตามที่สังเกตคนจำพวกนี้จะไม่มีการวางแผนชีวิต วางแผนในการใช้เงิน ถึงไม่ติดการพนันก็ไม่มีเงินไม่มีแบบแผนชีวิต ถึงจะทำงานดี ก็ไม่มีเงิน ไม่มีอะไรติดตัว แต่ยังดีมีประกันสังคมยามชรา ทำงานก็สักแต่ทำไปวันๆ แถมไม่ชอบงานที่ตัวเองทำตังหาก ต่างจากคนไทยที่ดิฉันรู้จัก ทำงานสามงานในหนึ่งวัน ไม่ง้อแม้กระทั่งสามี ที่เห็นๆในวงคนไทยมีเยอะมาก แล้วก็สนุกกะการทำงานด้วยละ

By akausa: ผมเคยทำ Full Time 2 jobs 5 ปีเต็มๆ...ครับ..บางคน enjoy กับงานจนลืม Spouse ก็มี..55555

By crackedheel: ผมว่าทุกคนมีด้านมืดของตัวเอง จะก้าวออกมาได้หรือไม่เท่านั้น การพนันผมเคยเล่นเสียเป็นหลักหมื่น เสียดายครับ แต่ผมจะคิดว่าถ้าเสียต้องยอม ไม่ทุ่มเอาคืนเพราะกลัวหนักเข้าไปอีก แต่ไม่ได้เล่นบ่อย ผมคิดว่ามันเป็นสิ่งที่ทำให้ตื่นเต้นดีไอ้การพนันเนียะ อย่างที่ผมว่าไว้ ถ้าแพ้หรือเสียแล้วรู้จักยอม ชีวิตก็จะไม่พังครับ ชอบงานเขียนชีวประวัติของคุณอาข่ามากครับ ติดตามตอนต่อไปกับคฤหาสน์บ้านทรายทอง555

By akausa: การพนันคือเกมส์ที่ต้องการเอาชนะ เมื่อชนะแล้วมันรู้สึก ตื่นเต้นและจะตื่นเต้นมากยิ่งขึ้นถ้าพนันเงินเข้าไปด้วย เมื่อเสียแล้วก็อยากเอาคืนหักห้ามใจไม่ได้ก็เป็นผีการพนันเลย...ผมเห็นมาเยอะแล้วครับ ขอบคุณที่ติดตามอ่านครับ....

By งงจัง: คุณอาข่าเคยกินปลาแดกฟิลิปปินส์บ้างเปล่า รสชาดมันเป็นยังงัย เห็นวางขายในตลาดเอเชีย เห็นว่ามีภรรยาแถวนั้นเลยถามดู

By akausa: ปลาร้า ปลาแดกหรือที่คนฟิลิปปินส์เขาเรียก "บากูอง" นั้นผมไม่ทานครับ...55555 คนฟิลิปปินส์นี่เขาชอบกินปลาและปลาร้ามาก จะว่าไปเป็นอาหารหลักของเขาเลย เขาจะกินกับผักนึ่งผักลวก บางทีก็เอาหอมหัวใหญ่มาซอย มะเขือเทศ แล้วเอาน้ำปลาร้าราด กินกับปลาทอดดูเขาจะเอร็ดอร่อยมาก ใช้มือกินด้วยนะถึงจะอร่อยของเขา...

อาหารฟิลิปปินส์ที่ผมชอบคือ "สินิกัง" เป็นแกงผักบุ้งหรือถั่วฝักยาวใส่ปลาหรือกระดูกหมู ใส่ผงมะขาม อร่อยดี หรือไม่ก็ "อาดูโบ" เอาไก่หรือหมู (สามชั้น) มาผสมกัน ต้มให้เปื่อย ใส่กระเทียมพริกไทยซีอิ้วดำ Bay Leaves น้ำส้มสายชู รสชาติออกมาคงคล้ายไก่หรือหมูซีอิ้วของคนจีนนั่นแหละ ผมทำอาหารสไตล์ฟิลิปปินส์ได้หลายอย่างครับ...

By chaliang: ผมกลับมาปี 87 ครับ อยู่ที่นั่นมา 15 ปี ตอนนี้ลูกชายอยู่ที่นั่นกับแม่ต่างชาติ (ลูกชายก็สามสิบแล้ว) เผอิญผมไม่ได้อ่านบทความต้นๆของคุณ แต่ถ้าคุณอยู่ LA หรือใกล้เคียง ผมว่าเจ้ามือบอลทั้งหลายที่คุณเล่นด้วย อย่างน้อยๆต้องมีพรรคพวกผมที่เป็นเจ้าอยู่บ้าง (50%) เพราะพวกนั้นจะเป็นรุ่นแรกๆเลย

ผมเองก็ทั้งเล่นและรับเอง แต่อย่างว่าแหละนะ การพนันไม่เข้าใครออกใคร กว่าจะรู้ก็แทบจะกู่ไม่กลับกันทั้งนั้น สำหรับคนที่ไม่โกง รับรองได้ว่าไม่มีใครรวย จะช้าหรือเร็ว knock หมดครับ แต่มีสัจจะธรรมอยู่ข้อนึง ถ้าคุณปฏิบัติตามได้ ก็รับรองว่าคุณก็มีโอกาสชนะมันได้เหมือนกัน คือการชนะใจตัวเองครับ กฎข้อนี้ปฏิบัติยากสุดๆ แต่ถ้าทำได้ คุณก็จะไม่เป็นทาษของมัน และในที่สุดคุณก็เอาชนะมันได้

ผมมีเพื่อนอยู่คนนึง ที่ทุกวันนี้เดินเล่นเป็นอาชีพหลัก เค้าบรรลุถึงการเอาชนะใจตัวเองได้ มากกว่า 90% ที่เข้าบ่อนแล้วไม่เคยเสียเลย นอกจากโดนเค้าโกง.... แต่คนโกง พวกผมจะดูออก ไม่ผ่านตากันง่ายๆหรอกครับ ถ้าเจอ...เราก็ไม่เล่น เขียนมาซะยาว ไม่ได้อยากให้ใครไปเดินเล่นการพนันนะครับ เพราะนั่นคือหายนะตัวจริง แต่สำหรับคนที่เลิกการพนันยังไม่ได้ ก็อยากให้รู้ไว้ว่า ถ้าคุณชนะใจตัวเองได้ โอกาสที่เราจะเล่นได้ก็มี และเป็นไปได้ครับ

By akausa: ผมเห็นด้วยครับที่คุณว่า, นักการพนันจะแยกได้สองประเภทนะผมว่าคือ 1. ขี้เล่น 2. นักเล่น คนขี้เล่นคือติดเป็นนิสัย ผีเข้าสิงขอให้ได้เล่น นักเล่นคือคนที่เล่นเอาได้ บังคับใจตนได้ ไม่หมกมุ่น

By Firasss: ผมไปเมกาปี 69-73 ชีวิตผมต้องต่อสู้ตั้งแต่สนามบินกรุงเทพฯถึงฮอนนาลูลู สมัยนั้นคนที่ไปเมกาครั้งแรกต้องมีฟิล์มเอ็กซเรย์ ของตัวเองติดตัวไปทุกคน เพราะเจ้าหน้าที่จะขอดูตอนเข้าเมือง แต่ผมไม่มี เพราะเข้าเปลี่ยนกฎใหม่ การที่เราได้รับคำบอกเล่าของคนที่เดินทางไปก่อน ว่าต้องรักษาฟิล์มไว้ให้ดีๆ หากทำหายจะมีปัญหากับเจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมือง ผมเลยวิตกตลอดทาง สมัยก่อนเขาจะตรวจการเข้าเมกาที่ รัฐฮาวาย จากนั้นก็แยกย้ายไปเมืองต่างในสหรัฐ ถือว่าจากฮาวายเข้าเมืองต่างๆ เป็นสายการบินภายใน ด่านที่ฮาวายไม่มีใครถามถึงฟิล์ม ผมเลยโล่งอกเหมือนยกภูเขาออกไปทั้งลูก ฟังดูเหมือนตลก แต่สำหรับผมที่เดินทางโดยเครื่องบินครั้งแรก แถมไปยังประเทศที่ไม่ได้พูดภาษาไทย มันตื่นเต้นแบบสุดๆเลยครับ

มีคนบอกผมว่าที่แคลิฟอร์เนีย ฝนจะไม่ตก It is never rain in California. เมื่อผมเหยียบแอลเอ ฝนตกไม่หยุดเป็นเวลาชั่วโมงครึ่ง มันแปลกดีไหมครับ?

By akausa: It's never rain in southern California....ใช่ครับผมก็นึกอย่างคุณเหมือนกัน..ที่ไหนได้...55555 ตอนผมเข้าอเมริกาผมก็เข้าทาง ฮาวายเหมือนกัน

By ดวงจันทร์: อ่านที่คุณโพสที่เฟสบุ๊คหลายวันแล้วแต่ไม่ได้ตอบที่นั้นและที่นี้ก็ไม่ได้อ่านทุกความเห็นของเพื่อนๆ และ ของคุณ แต่ขอตอบก่อน

ดิฉันเป็นที่ไม่ชอบเรื่องการพนันทุกชนิด เสียดายเงินที่กว่าเราจะหามาได้ด้วยความยากลำบาก มาเจอคุณต้องเสียเงินไปกับเรื่องนี้มากมายเลยไม่อยากตอบ แต่ขอตอบวันนี้ว่า คนที่หลงในเรื่องการพนันเป็นคนสิ้นคิดที่เอาตัวเอาอนาคตไปหมดกับเรื่องพวกนี้ แต่ก็ดีใจที่คุณผ่านเรื่องนี้มาได้เอาไว้เป็นข้อเตือนใจคนอื่นๆค่ะ ตอบเสร็จจะกลับไปอ่านแต่จะไม่ขอแก้ไขคำตอบนี้นะค่ะ

By akausa: ถูกต้องครับคุณดวงจันทร์....การพนันไม่เล่นได้เป็นดีที่สุด....นิสัยผมก็ไม่ชอบเล่นการพนันครับ

เชิญติดตามตอนต่อไป...ได้ที่นี่ครับ

@ ตอนที่ 8...กลับไปทำงาน 2 job ใหม่ กลับเมืองไทยครั้งแรกหลังจากที่จากมาแล้วเกือบสิบปี เริ่มค้าขาย ชีวิตหักเหอีกครั้ง