@ อู่ตะเภา-เขาวิหาร สันดาน "แมลงสาป"
@ ผมเคยคิดว่า ปชป.แม้จะเป็นรัฐบาลไม่ได้ แต่ก็เป็นฝ่ายค้านที่มีคุณภาพ ดังนั้นผมจึงคิดว่า...
@ "ดิฉันวินิจฉัยแล้ว ไม่มีหรอกค่ะโรคขี้ข้าทักษิณ มีแต่โรคอยากกลับมาเป็นนายกฯ โดยไม่ต้องชนะเลือกตั้งทักษิณ"
@ ภาพรวมในความคิดผม หนึ่งวันก่อนตัดสินจนถึงยกคำร้อง
@ สาเหตุที่มึงป่วย...เพราะ...โง่...
@ ข้อเสนอแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยเพื่อยกเลิกศาลรัฐธรรมนูญและจัดตั้งคณะตุลาการพิทักษ์ระบอบรัฐธรรมนูญ
@ นกแก้วตัวนั้น?
@ มีคนเขาบอกว่า ผมถูกหลอก
คลิกที่ภาพ...เพื่อดูขนาดที่ใหญ่ขึ้น @ โหลดเก็บไว้ในcomเชิญคลิกที่นี่...
เก็บหน้านี้ไว้ใน Favorites เพื่อสะดวกในการอ่านตอนต่อๆไป นะครับ
หมายเหตุ: ขอขอบคุณและขออนุญาตคุณ akausa นำข้อเขียนของท่านมาลงไว้เว็บนี้นะครับ
เมื่อผมไปอเมริกาครั้งแรกเมื่อเดือน มกราคมปี 1972.....ผมมีเงินติดตัวไป $80.00
By: akausa เว็บประชาทอล์ค (เริ่มตอนแรก 26 ธ.ค.2554)
ตอนที่ 8...กลับไปทำงาน 2 job ใหม่ กลับเมืองไทยครั้งแรกหลังจากที่จากมาแล้วเกือบสิบปี เริ่มค้าขาย ชีวิตหักเหอีกครั้ง
ก่อนอื่นผมต้องขอโทษท่านที่ติดตามอ่านที่ผมทิ้งช่วงไปเสียนานเนื่องจากไปติด "นิติราษฎร์ Fever" และก็ความร้อนแรงทางการเมือง ก็เลยไม่มีความตั้งใจเขียน มีแรงบันดาลใจอีกครั้งหนึ่งเพราะมีผู้อ่านหลายท่านทวงถามทั้งๆที่ไม่รู้จักกันมาก่อนว่าอยากจะอ่านต่อ บางท่านถึงกับขอจองเลยถ้าจะเอาไปรวมเล่มขาย...55555 ผมก็เลยมาเขียนต่อและจะพยายามเขียนให้จบ
หากท่านผู้อ่านอยากจะเท้าความตั้งแต่ตอนที่ 1-7 @ เชิญไปอ่านได้ที่นี่ครับ
ขอขอบคุณเจ้าของเว็บที่กรุณาเอาข้อเขียนผมไปเผยแพร่และเก็บรักษาไว้
เมื่อตั้งสติได้ผมก็กลับไปทำงานแบบ Full time อีก job หนึ่งที่โรงโบว์ลิ่งเหมือนกันโดยล้างมือจากการพนันและปลีกตัวออกจากสังคมไทยอยู่อย่างเงียบๆ จัดการเคลียร์หนี้สินต่างๆ (Bill Payments) ที่จ่ายไม่ตรงเวลารวมทั้งหนี้บัตรเครดิตต่างๆด้วยเกือบ 1 ปีเต็มผมก็สามารถ Catch Up หนี้สินที่มีอยู่ได้และยังมีเงินเหลือฝากธนาคารอีกเกือบ 5 พันเหรียญ ใจผมก็คิดที่จะหางานอย่างอื่นทำเพราะผมรู้สึกเบื่องานโบว์ลิ่งแล้ว อีกอย่างหนึ่งผมขึ้นไปถึงเพดานอัตราเงินเดือนของธุรกิจนี้แล้ว ถึงเขาจะชอบผมยังไงเขาก็จะจ่ายให้มากกว่านั้นไม่ได้แล้ว ผมจะไปทำงานอะไรถึงจะทำเงินได้ จะเปิดร้านอาหารไทยก็ไม่มีทุน ในที่สุดผมก็บอกภรรยาผมว่าผมอยากกลับเมืองไทยสักเดือนหนึ่งเพื่อไปพักผ่อนและหาลู่ทางค้าขายโดยจะหาของจากเมืองไทยมาขาย อีกอย่างหนึ่งผมจากประเทศไทยมาเก้าปีแล้วไม่เคยกลับเลยภรรยาผมเห็นดีด้วยพอดีตอนนั้นได้เงินค่าภาษีที่เสียไปคืนมาเกือบ 5 พันเหรียญ ผมก็มีเงินประมาณ 1 หมื่นเหรียญกลับเมืองไทย
เกือบ 10 ปีที่จากไปกลับมาบ้านเราก็เปลี่ยนไปเยอะเหมือนกันโดยเฉพาะกรุงเทพฯผมไม่ได้มีธุระอะไรในกรุงเทพฯก็เลยไม่ได้อยู่ ก็กลับบ้านเกิดที่เชียงใหม่เลยพักผ่อนอยู่กับพ่อแม่ พอว่างผมก็ไปเดินแถวไนท์บาร์ซ่าร์สมัยนั้นยังเป็นเพิงขายอยู่ไม่เหมือนอย่างเดี๋ยวนี้มีตึกสามชั้นอยู่ตึกเดียวตอนนั้น ผมหาซื้อของอะไรที่สวยๆแปลกๆที่คิดว่าจะเอาไปขายได้ที่โน่นเป็นร้อยๆรายการซึ่งส่วนมากจะเป็น งานฝีมือ Gifts และ Home Decoration Items
ผมอยู่เมืองไทยประมาณเกือบเดือนแล้วผมก็กลับอเมริกาในใจก็คิดว่าจะเอาไปขายอย่างไร ผมก็กลับไปทำงานที่โบวลิ่งเหมือนเดิมแต่วันเสาร์-อาทิตย์ผมจะเอาของที่ผมซื้อมาไปขายที่ Flea Market (ตลาดนัด) ทางเท็กซัสเขาเรียกอย่างนี้แต่ในแคลิฟอร์เนียจะเรียกว่า Swap Meet คือสมัยก่อนโน้นตลาดนัดมีไว้เพื่อแลกเปลี่ยนสิ่งของหรือสินค้ากัน ต่อมาจึงมีการพัฒนาแบบมีการขายสินค้าเอาเงินสดด้วย โรงหนังแบบ Drive in ซึ่งเคยรุ่งเรืองแต่ทีหลังก็ซบเซาลงก็ถูกดัดแปลงให้เป็น Swap Meet เพราะเนื้อที่กว้างขวาง
ผมไปเช่าที่ใน In door Flea Market ซึ่งเป็นตึกกว้างใหญ่มีแอร์ด้วยและไม่ต้องกางเต๊นท์ ของที่เอาไปก็พอขายได้คนอเมริกันเขาชอบงานฝีมือหรือพวก Hand Made มาก
ของที่ซื้อไปผมมีเสื้อผ้าแบบพื้นเมืองไปด้วยแล้วก็มีชุดอย่างที่ผมเอารูปมาให้ดูนี่ ชุดนี้แหละที่ทำให้ชีวิตผมเปลี่ยนไปอีกครั้ง ชุดอย่างนี้จะทำด้วยผ้าฝ้ายสมัยนั้นจะมีขายกันเกร่อที่ไนท์บาร์ซ่าร์ สนนราคาก็ตัวละ 80-100 บาท ผมชอบชุดอย่างนี้มากเพราะมันสวยและก็มีหลากสีให้เลือก ผมซื้อไปเกือบสองร้อยตัวเอาไปแขวนขายที่ตลาดนัดก็ขายได้เหมือนกันผมขายตัวละ 30 เหรียญ พอดีผมมีคนรู้จักเป็นเจ้าของร้านตัดเสื้อผ้าและทำ Alterations ด้วย เย็นวันหนึ่งผมก็เอาชุดไป 2 โหลเพื่อจะไปฝากเขาขายซึ่งได้ตกลงคุยกันไว้ก่อนแล้ว พอดีผมต้องรีบไปทำงานผมจึงบอกเขาว่าพรุ่งนี้เช้าผมจะไปรีดให้มันดูดีเรียบร้อยขึ้นแล้วเอาแขวนโชว์ที่ตู้หน้าร้าน ผมจะคิดเขาตัวละ $25.00 หากเขาขายเกินกว่านั้นก็ให้เป็นส่วนของเขาไป
รุ่งขึ้นอีกวันผมก็ไปที่ร้านเขาเพื่อที่จะไปจัดการตามที่บอกเขาไว้ก็ไปเห็นผู้หญิงฝรั่งคนหนึ่งเขากำลังตื่นเต้นกับชุดของผมมากคือเขาชอบทั้ง Style และสี จึงถามซื้อของผมหมดในราคาตัวละ $32.50 แล้วถามผมว่ายังมีอีกไหม ผมก็บอกว่ามีแล้วก็พาเขาไปที่บ้านเขาก็เหมาหมดอีกเกือบ 200 ตัวที่ผมมีอยู่ อย่าให้บอกเลยว่าผมดีใจขนาดไหน แล้วเขาก็พาผมไปด้วยคือจะเอาไปขายต่อให้กับร้านค้าเสื้อผ้าและร้าน Boutique ต่างๆ ผมก็ไม่รู้ว่าเขาพาผมไปด้วยทำไม
และแล้วสิ่งที่ไม่น่าเชื่อก็เกิดขึ้น เขาพาผมเข้าไปสองสามร้านขายให้เจ้าของร้านในราคา $55.00 และเจ้าของร้านก็เอาไปขายต่อ (Retail) ในราคา $110.00 มีอยู่ร้านหนึ่งคนต้องรอคิวเพื่อเข้าห้องลองชุด (ร้าน boutique ส่วนมากจะมีห้องลองชุดอยู่ห้องเดียว จึงต้องรอคิว) ตกลงวันนั้นเธอขายไปได้กว่าครึ่งที่เธอซื้อของผมไป ทั้งเธอและผมต่างก็ตื่นเต้นมาก ผมตื่นเต้นที่ผมขายของที่ผมซื้อไปได้หมด เธอตื่นเต้นเพราะเธอเห็นแววที่เธอจะทำเงินได้จากชุดนี้
ผมอยากจะบอกท่านผู้อ่านถึงผู้หญิงคนนี้สักนิดว่า เธอชื่อ Elizabeth (อลิซาเบ็ธ) เธอมีอาชีพอยู่ในวงการแฟชั่น ออกแบบและก็เอาไปขายให้กับร้านค้าต่างๆ เธอมีลูกค้ามากเธอไปที่ร้านที่พบผมเพราะเธอไปจ้างเขาเย็บแบบที่เธอออกให้ บางครั้งก็เอาแบบไปแก้ไข เขารู้จักกันมากว่า 4-5 ปีแล้ว ช่วงนั้นมันมีชุดอย่างหนึ่งของเม็กซิกัน Hit มาก ขายในร้านประมาณ $90-110.00 มันคล้ายกับชุดที่ผมเอาไป ต่อมาคนเริ่มเซ็งเพราะมันมีแขวนขายอยู่ตามสี่แยกข้างถนน ราคาไม่ถึง $30.00 ทั้งนี้เพราะคนที่ข้ามไปเม็กซิโกก็หอบหิ้วกลับมา ซื้อมาในราคาถูกก็เลยเอามาขายข้างถนนอย่างนั้นคนเลยไม่ค่อยอยากใส่อีกต่อไป ชุดที่ผมเอาไปมันจึงได้จังหวะแบบสวยกว่า Elizabeth เธอรู้และชำนาญการตลาดจึงมีความเชื่อมั่นว่าชุดของผมจะต้องดังแน่ๆ
หลังจากเสร็จธุระแล้วเราจึงไปนั่งคุยกันต่อที่ร้านกาแฟ เธอบอกว่าเธอจะทำสัญญาสั่งซื้อจากผม Lot แรก 6,000 ตัวโดยจะจ่ายเงินให้ผมครึ่งหนึ่งก่อนเอาไปเป็นทุนทำ เมื่อเธอได้ของเธอก็จะจ่ายให้ทั้งหมด ผมตื่นเต้นและไม่เชื่อในสิ่งที่ได้ยินมากับหูอะไรมันจะปานนั้น ถ้ามันจริงผมจะได้เงินเท่าไหร่ จาก ราคา $32.50 ผมจะเหลือ $25.00 เพราะจะต้องจ่ายให้เจ้าของร้านตัดผ้าด้วยเพราะผมรู้จัก Elizabeth ในร้านเขา ตีเสียว่าต้นทุนผมจะตกในราว $10.00 ผมก็ยังได้กำไรโขอยู่ แต่ผมจะต้องลาออกจากงานประจำซึ่งมีรายได้เกือบสามพันเหรียญ Elizabeth ให้เวลาผม 3 เดือนในการทำงานชิ้นนี้รวมทั้งเวลาขนส่งด้วยซึ่งหมายถึงว่าตั้งแต่วันทำสัญญาพอครบสามเดือนเธอต้องได้ของในสหรัฐ
วันนั้นผมกลับบ้านด้วยความดีใจเพราะโอกาสทำไมมันถึงมาได้ง่ายๆอย่างนี้ ผมจะได้เงินประมาณ $90,000.00 ภายในสามเดือน (6,000x15=90,000.00) เจ้าของร้านเสื้อผ้าผมขอเรียกเธอว่า Nee ก็จะได้ $45,000.00 (6,000x7.5=45,000.00) โดยที่ไม่ต้องทำอะไรเลย สมัยนั้นอย่าว่าแต่กะเหรี่ยงเลยแม้แต่คนขาวเองหาเงินได้อาทิตย์ละ $300.00 ก็นับว่าเก่งแล้ว ผมคุยให้แม่เด็กฟัง เธอทั้งตื่นเต้นทั้งดีใจไปกับผม (ใจคงคิดว่าเลือกสามีได้ถูกแล้ว...55555) ตอนนั้นบ้าน 3-4 ห้องนอนสร้างใหม่เลย ราคา 5-6 หมื่นเหรียญเอง
All Americans Dream ก็คือการที่ได้เป็นเจ้าของบ้านมีบ้านของตัวเอง
โปรดติดตามตอนต่อไปที่นี่... สิ่งที่ไม่คาดฝัน....
Dallas , Texas , U.S.A.
ตอนที่ 9...สิ่งที่ไม่คาดฝัน....
รุ่งขึ้นอีกวันหนึ่งผมได้รับโทรศัพท์จาก Elizabeth ว่ามีปัญหาหน่อยอยากจะคุยด้วยแล้วเราก็นัดเจอกันที่ร้านกาแฟแห่งหนึ่ง ประโยคแรกเมื่อเธอเจอผมเธอถามผมว่า “ใครเป็นคน Import หรือนำชุดนี้เข้ามา” ผมเจอคำถามนี้ก็งงทำไมถึงถามแบบนี้ ผมเป็นคนขายของให้เธอ แล้วเธอก็ยังไปเอาของที่บ้านผม ผมก็ตอบเธอไปแบบนั้นยืนยันว่าผมเป็นคนเอามาจากเมืองไทย เธอก็บอกว่า เมื่อเช้านี้เธอไปที่ร้าน Nee มาและก็เล่าถึงเรื่องที่เราได้ตกลงกันไว้ให้ Nee และสามีฟัง ทั้งคู่บอกว่าเขาเป็นคน Import เข้ามา หากจะซื้อจะขายรายใหม่ก็ต้องตกลงกับเขาทั้งสอง เขาก็เลยมาถามผมนี่แหละ
พอผมได้ยินอย่างนั้นผมงี้เศร้าเลยคิดในใจว่าอะไร(วะ) ทำไม Nee ถึงพูดอย่างนั้น ชุดที่ผมขายให้ Elizabeth ไปก่อนหน้านั้น ผมก็จ่ายให้เขาไปเกือบสองพันเหรียญตามที่เขาจะได้ $7.5/ตัว เรื่องที่ผมคุยกับ Elizabeth เมื่อวานนี้ผมยังไม่ได้ไปคุยกับเขาคิดว่าจะไปวันนี้แต่ Elizabeth คงตื่นเต้นไปคุยกับเขาก่อน ผมเองก็บอกกับ Elizabeth แต่วานนี้แล้วว่างานนี้ Nee จะได้อะไร เขาก็ยังบอกว่า That’s fair enough มาวันนี้เรื่องกับตาลปัด ในที่สุด Elizabeth ก็สรุปว่าเธอไม่รู้จะเชื่อใครดี เธอยังไม่เลิกล้มความตั้งใจที่จะสั่งซื้อ แต่เธอจะทำสัญญากับคนใดคนหนึ่งเท่านั้นและในเวลาเดียวกันเธอก็ต้องเห็นสัญญาระหว่างผมกับ Nee ว่าจะไม่ Import ชุดนี้เข้ามาขายแข่งกับเธอและให้เราทั้งสองไปตกลงกันก่อน เมื่อตกลงได้ตามที่เธอต้องการแล้วเธอถึงจะเซ็นสัญญา
หลังที่บายกันแล้วผมก็รีบไปที่ร้าน Nee ถามเขาว่าเขาก็รู้อยู่แก่ใจว่าผมเป็นคนนำชุดนี้เข้ามาแล้วทำไมถึงไปบอก Elizabeth ว่านำเข้ามาเอง เขาก็แถไปหาว่าผมไปขโมยลูกค้าเขา ผมก็บอกว่าขโมยอะไรผมทำอะไรผมก็รวมเขาอยู่เพียงแต่เขารู้จากปาก Elizabeth ก่อนเท่านั้น Elizabeth เองก็รู้และเป็นพยานได้ว่าผมไม่ได้ Left Out เขาเลย ผม Include เขาอยู่ใน Deal ด้วย แล้วผมก็เสนอเขาตามที่ผมคิดไว้ให้เขาอีกครั้งหนึ่งและก็บอกข้อแม้ของ Elizabeth ให้เขาทราบด้วย เขาก็บอกว่าเขาไม่ตกลง แล้วผมก็ถามเขาว่าแล้วจะต้องทำยังไงถึงจะตกลงเขาบอกว่าให้ผมอยู่เฉยๆแล้วเขาจะเป็นคน Deal กับ Elizabeth เอง ผมก็ยอมไม่ได้เพราะเขาโกหกและจะฉวยโอกาสอย่างหน้าด้านๆ
ผมก็เลยโทรกลับไปหา Elizabeth บอกเธอว่า Nee ไม่ตกลงตามข้อเสนอของผม เธอก็แนะนำผมว่างั้นลองเสนอว่าจะให้ 25% ของยอดขายทั้งหมดสิ ผมคำนวณดูแล้วก็จะเป็นในราวเกือบ 5 หมื่นเหรียญ ผมก็กลับไปเสนอเขาอย่างนั้นเขาก็ไม่ยอมอีก ในที่สุดผมก็บอกว่าเอาอย่างนี้ ผมขอแค่ 10%ของยอดขายแล้วผมจะทำสัญญาให้ว่าผมจะไม่ Import เข้ามาขายแข่งตามที่ Elizabeth ต้องการแต่เขาต้องไปจัดการเองทั้งหมดผมจะไม่ยุ่งอะไรผมก็จะได้เกือบ 2 หมื่นเหรียญ เขาก็ไม่ยอมอีก ผมก็ย้อนถามว่าแล้วจะให้ผมทำยังไงเขาถึงจะยอม เขาก็ตอบว่าให้อยู่เฉยๆทำตามที่เขาสั่ง เขาจะให้อะไรผมอย่างไรก็แล้วแต่เขา ถึงตอนนี้ผมก็พอจะเดาออกแล้วว่าโอกาสนั้นหมดแล้ว ความเห็นแก่เงินและความโลภทำให้คนทำได้ทุกสิ่งทุกอย่างแม้จะได้มาด้วยความไม่ชอบธรรม ผมกลับบ้านแล้วโทรไปหาพี่สาวผมที่ชิคาโก้ บอกเรื่องให้เขาฟังทั้งหมดแล้วผมก็ร้องไห้ไปด้วยเพราะเสียดายโอกาส มันจะมีอย่างนี้อีกไหมในชีวิต อีกอย่างหนึ่งก็เสียใจที่ไม่คิดว่าเขาจะทำได้เพราะ Nee ก็เปรียบเสมือนญาติ พี่สาวผมก็รู้จัก
เมื่อไม่มีทางตกลงกันได้ผมจึงเขียนจดหมายไปหา Elizabeth บอกเธอว่ารู้สึกเสียใจและเสียดายที่ไม่ได้ทำ Business ด้วยกัน God knew who told you the truth และผมก็ไม่ Blame เธอที่เธอมีแนวโน้มที่จะเชื่อ Nee มากกว่าผมเพราะเขารู้จักกันมานานแล้ว แต่อย่างไรก็ดีในกาลข้างหน้าหากทั้งเธอและผม Still in the same business อยู่เราคงได้เจอกัน
ผมไม่รู้ว่าจะอธิบายถึงคนอย่างคุณ Nee นี้ได้อย่างไร คิดยังไง ทำไมถึงเป็นอย่างนั้น
"ความพยายามอยู่ที่ไหนความสำเร็จอยู่ที่นั่น" ผมไม่ละความพยายามเพราะรู้ว่าชุดที่ผมนำเข้าไปนั้นมัน Hot คือหาตลาดเป็นมันต้องขายได้แน่ๆ แต่ผมก็ไม่มีประสบการณ์ในการขายเสื้อผ้ามาก่อนเลยตลาดเป็นอย่างไรก็ไม่รู้และผมก็ไม่ไปเสนอขายให้กับร้านที่ Elizabeth เคยพาผมไป ผมก็เลยค้นใน Yellow Page เสาะหา Wholesale Clothing ว่าอยู่ที่ไหนบ้างโทรศัพท์ไปถามขายหลายแห่งแต่ไม่มีใครสนใจ ในที่สุดก็ไปเจอบริษัทหนึ่งขายเสื้อผ้าจากเม็กซิโกเขาเห็นชุดตัวอย่าง เขาชอบ สั่งซื้อผม 500 ตัวในราคาตัวละ $30.00 แล้วให้ผมส่งให้ภายในสามเดือนถ้าหลังกำหนดนั้นแล้วยังไม่ได้รับของสัญญาจะเป็นโมฆะเลิกซื้อเลิกขาย ผมก็กลับบ้านเอา Order ให้แม่เด็กดู ผมบอกเธอว่าพระเจ้ายังเข้าข้างเราอยู่
Wow..!!! นี่อาข่าทำได้ไง..รับออเดอร์มายังไม่รู้ว่าจะไปทำที่ไหน จะไปเลือกซื้อเอาอย่างแต่ก่อนไม่ได้เพราะเขาสั่งทั้ง Size ทั้งสี แล้วจะขนมาอย่างไรจะเอาเข้ามาอย่างครั้งก่อนก็ไม่ได้เพราะครั้งนี้จะเป็น "สินค้า" เอามาขาย ไม่ใช่ "สินค้า" ตัวอย่าง ครั้งที่แล้วกว่าจะเอาเข้ามาได้ทุลักทุเลเต็มทนเพราะไม่รู้เรื่องอะไรเลยแม้แต่พิธี "ศุลกากร" แม้แต่ศุลกากรที่สนามบินดอนเมืองยังจะเรียกเก็บภาษีขาออก "เถื่อน" จากผมแต่ผมไม่ยอมจ่ายเถียงกันจะไปถึงห้องหัวหน้าเขาก็บอกให้ปล่อยผม (ผมมีของไปประมาณ 6 กล่องใหญ่ จ่ายค่าระวางเพิ่มให้กับสายการบิน ดูเหมือนจะกิโลละร้อยบาทตอนนั้น) ปัญหาเท่านั้นยังไม่พอจะลางานประจำที่โบว์ลิ่ง อย่างไรลานานเขาคงไม่ยอมแน่ ก็ขอลา 3 อาทิตย์ เขายอมผมก็เลยเดินทางกลับเมืองไทย
กลับมาถึงเมืองไทยก็ยังไม่รู้จะไปสั่งใครทำ ไม่มีความรู้เรื่องผ้าเลย ก็ไปเดินแถวไนท์บาร์ซ่าส์ไปคุยกับคนขายรายหนึ่งเขารับปากว่าทำให้ได้ พอดีผมได้ไอเดียมาจาก Elizabeth ว่าต้องปรับ Size ให้เข้ากับ Size ฝรั่ง ก็คุยกับคนทำไปหาซื้อหนังสือแฟชั่นมาเพื่อมาหาข้อมูลในที่สุดทุกอย่างก็ลงตัวเรื่อง Size เรื่องผ้า เรื่องราคาและเวลาที่จะทำ 500 ตัว เขาขอเวลา 2 อาทิตย์ เมื่อทำเสร็จส่งออกไม่ได้เพราะไปติดปัญหา โควตา (สมัยนั้นจะส่งส่งเสื้อผ้าไปขายที่อเมริกาต้องมีโควต้านะครับ) แถมยังไม่มีประวัติการส่งออกเจ้าหน้าที่ส่งออกก็ไม่ให้โควต้าด้วย แบบเขาจะให้กับคนที่มีประวัติส่งออกก่อน ถ้าโควตาหมดคุณก็ไม่มีโอกาสได้ส่งออก มีการโกงกินกันเรื่องโควต้านี่มากแล้วจะเล่าให้ฟังว่าเป็นอย่างไร สรุปแล้วผมเสียเวลาเกือบสองอาทิตย์กว่าจะได้โควต้าทำเรื่องส่งออกได้ เจ้าหน้าที่กรมส่งออกที่สนามบินเชียงใหม่ต้องทำเรื่องขอไปยังกรุงเทพฯก่อนขอโควต้ากลางมาเพราะโควต้าของเชียงใหม่จำหน่ายจ่ายแจกไปหมดแล้ว ได้โควตามาก็จัดการให้ Shipping ส่งของไปให้ผมไปที่สหรัฐทางเรือโดยจะใช้เวลาถึงที่โน่นประมาณ 22-30 วัน
เมื่อจัดการส่งของเสร็จผมก็กลับสหรัฐไปรอรับของที่นั่น ของไปถึงแล้วใช่ว่าจะเอาออกได้เลยนะครับต้องมีพิธีศุลกากรอีก ต้องมี Broker ทำให้เพราะเราเองทำและเดินเรื่องไม่เป็น ต้องจ่ายค่าภาษีนำเข้าอีกผมจำไม่ได้ว่ากี่ % ในตอนนั้น
ของไปถึงสหรัฐช้ากว่ากำหนดเพราะของไปตกค้างที่สิงคโปร์ในการถ่ายขึ้นเรือเดินสมุทรใหญ่ ผมได้ออเดอร์มาเกือบสองอาทิตย์ถึงจะกลับเมืองไทยได้ ไปติดค้างที่เมืองไทยก็เกือบเดือน ของมาถึงช้าแล้วยังไปช้าที่ Custom อีก ตกลงผมออกของส่งให้ลูกค้าไม่ทันกำหนดเขาก็ Canceled ไปโดยอัตโนมัติ โทรไปบอกถึงปัญหาให้เขาทราบเขาก็บอกว่าเลยกำหนดเขาก็ไม่เอา ไม่ Extend ให้ ผมก็เลยมาปวดหัวจะต้องไปเร่ขายที่ไหนเนี่ยตั้ง 500 ตัวเงินก็ไปจมอีกเพราะค่าใช้จ่ายทุกอย่างจ่ายเป็นเงินสดทั้งนั้น จำได้ว่าช่วงนั้นเป็นราวๆใกล้ X’mas ผมก็กลับไปขายของที่ Flea Market ทุกเสาร์อาทิตย์เหมือนเดิม....
โปรดติดตามตอนต่อไปที่นี่... ประตูโอกาสเปิดให้อาข่าอีกครั้งหนึ่ง...
Detroit , Michigan , U.S.A.
ตอนที่ 10...ประตูโอกาสเปิดให้อาข่าอีกครั้งหนึ่ง...
ช่วงนั้นจะเป็นช่วงคริสต์มาสพอดี ร้านค้า Retail ต่างก็โฆษณาขายของ กิจการซบเซามาทั้งปีก็จะมีโอกาสขายก็ในช่างนี้แหละ ผมก็คิดว่าผมจะทำยังไงดีกับ 500 ชุดที่มีอยู่จะแขวนขายในตลาดนัดเมื่อไหร่มันจะหมดและแล้วผมก็ทำตามโฆษณาของ Yellow Page ที่นั่นคือ "Let your finger do the walking" หมายถึงอยากรู้อะไรให้เปิดดูใน Yellow Page นั่นแหละ
สมัยนั้น Internet Net Work มันยังไม่มีเหมือนสมัยนี้ Face Book Twitter หรือแม้แต่กูเกิ้ลยังไม่มี การสื่อสารตอนนั้น ก็เป็นโทรศัพท์(ยังไม่มีมือถือ) มีแต่เทเล็กส์ที่พอจะใช้ได้ระหว่างประเทศแต่ก็ต้องไปอาศัยบริการที่ร้าน เราไม่มีปัญญาซื้อมาใช้เองหรอกแม้แต่ Computer ก็เหมือนกัน
ผมก็ค้นหาคำว่า Distributor กับ Wholesaler ที่ค้าขายเสื้อผ้า ก็เพราะคิดว่าธุรกิจอย่างนั้นแหละถึงจะซื้อเราทีละมากๆได้แล้วเอาไปจำหน่ายให้ฐานลูกค้าที่เขามีอยู่แล้ว และผมก็ไปเจอคำว่า Dallas Market Center อยู่ที่เมือง Dallas ที่ JFK ถูกลอบยิงตายนั่นแหละ จะอยู่ห่างจากที่เมือง Houston ผมอยู่ประมาณ 220 ไมล์หรืออาจจะกว่านั้นนิดหน่อยผมจำไม่ได้ แค่รู้ว่าถ้าจะขับรถไปก็จะใช้เวลาประมาณ 4 ชั่วโมง ผมเปิดดู Listing ในนั้นอ่านอันไหนที่คิดว่าเขาจะสนใจของๆเราก็โทรไป พร้อมกับอธิบายถึงความเป็นมาของชุดนี้ให้เขาฟังและก็มี 5-6 รายที่สนใจอยากจะดูผมก็ Make Appointment ไว้ว่าจะไปเวลาไหนและไปเจอใครในเวลาไหนกะว่าชั่วโมงละคนเริ่มตั้งแต่ 9 โมงเช้าเป็นต้นไป
แล้วผมก็เตรียมตัวไป Dallas เตรียมเสื้อผ้าตัวอย่างไป แล้วไปซื้อกระเป๋าแบบเจมส์บอนด์มาใบหนึ่งเพื่อเอาใส่ตัวอย่างและเอกสารต่างๆ ใส่ชุดนอกผูกไทด์เต็มยศเหมือนนักธุรกิจเลย ผมขับรถออกจาก Houston ตีสี่กะว่าถึงที่นั่นแปดโมงเช้าพักหากินกาแฟสักครู่ก็จะไปพบ Appointment แรกได้เลย ถึงเวลา 8.30 น.ผมก็หาที่จอดรถแล้วเดินเช้าไปในตัวตึก จะผ่านเข้าไปเฉยๆไม่ได้ต้อง Register หรือลงทะเบียนก่อน เจ้าหน้าที่ถามว่าผมมีนามบัตรไหม Represent บริษัทอะไรผมก็บอกว่าไม่มีอะไรซักอย่างเรายังไม่มีธุรกิจจริงๆจังๆอะไรเลย เมื่อไม่มีเขาก็จะไม่ให้ผมเข้าไป
ไวเท่าความคิดผมก็บอกว่าผมมาจากต่างประเทศพร้อมกับโชว์พาสปอร์ตไทยให้ดู ผมอยากจะมาดูงานอยากจะมาทำธุรกิจและวันนี้ผมก็มีนัดกับบุคคลดังกล่าวแล้วผมก็เอารายชื่อที่ผมนัดไว้ให้เขาดู เท่านี้แหละครับเจ้าหน้าที่ก็รีบกุลีกุจอให้ความสะดวกผม แต่ก็ไม่วายที่จะโทรไปเช็ดคนที่นัดผมไว้รายหนึ่งว่ามีนัดกับผมหรือเปล่า เมื่อได้รับตอบว่า Yes เขาก็รีบออกบัตร Visitor พร้อมสายให้ผมมาคล้องคอแล้วผมก็เดินผ่านเข้าไปได้ ผมจำไม่ได้ว่าตึกนี้มีทั้งหมดกี่ชั้นถ้าจำไม่ผิดคิดว่ามี 9 ชั้นและมีหลาย Wings เดินหาจะไปห้องโน้นห้องนี้ก็งงเหมือนกัน แต่มีทั้ง Lift และ Elevator ขึ้นลงถึงทุกชั้นทั้งด้านหน้าด้านหลัง
สรุปเลยว่า Appointments ที่ผมนัดไว้นั้น Foul หมดเพราะที่ตลาดแห่งนี้ผมเรียนรู้ว่ามันเป็นแค่ Show room ของ Salesman ที่ Represent บริษัทต่างๆที่เขาผลิตเสื้อผ้าขาย บริษัทใหญ่ๆ อย่าง Guess , Levy ก็อาจจะมาเปิดโชว์รูมเอง แต่ละโชว์รูม เซลส์แมนก็จะเป็นตัวแทนขายให้โดยกินเป็น% บริษัทผลิตเสื้อผ้าเขาก็จะมา Line ของเขาซึ่งมีมากมายหลายแบบ บางโชว์รูม Represent เป็น สิบๆ Line ก็มี ทั้งนี้ก็เพื่อที่จะได้ Volume ในการขายก็จะได้%เยอะๆ ดังนั้นชุดของผมที่หวังจะไปขายเอาเงินเลยนั้นก็หมดหวังไปหรือแม้แต่จะให้เซล์แมนพวกนั้นรับเอาไปขายให้เขาก็ไม่เอาเพราะมันเป็นแค่ Item line คือมีอยู่ แบบเดียวแถมยังผมไม่มีบริษัทหรือ Office อะไรอีก ก็เลยต้องเดินคอตกกลับมา ใจก็แห้งเหี่ยวหดหู่ อะไรมันจะปานนี้ จะค้าขายทีก็ต้องเจออุปสรรคนานัปการและที่สำคัญเราไม่มีประสบการณ์ด้วย
ขณะกำลังจะเดินกลับไปที่บันไดลง ตอนนั้นผมอยู่ชั้นสองและก็เกือบบ่ายสี่โมงแล้วเดินผ่านโชว์รูมห้องหนึ่งเห็นฝรั่งผู้ชายคนหนึ่งกำลังนั่งถอดไพ่อยู่ เหมือนมีอะไรไม่รู้บอกให้ผมเดินเลี้ยวเขาไป ผมพร้อมกับ Say Hello กับเขา เขาก็สวัสดีตอบและถามผมว่า "What can I do for you?" ผมก็เปิดกระเป๋าให้เขาดูตัวอย่างชุดพร้อมกับบอกว่า "I’ve got this, do you think you can do some with it?" และผมก็บอกความเป็นมาให้เขาฟัง ระหว่างที่เขาฟังผมพูดเขาก็ยืนกอดอกพร้อมกับมองไปที่ชุดและเขาถามผมว่าจะขายตัวละเท่าไหร่ อารามที่ผมอยากจะขายเอาเงินทุนคืนเพราะดูมันยากลำบากเหลือเกินที่คิดจะค้าขายนี่เพราะเราไม่รู้ ไม่มีประสบการณ์ ไม่มีช่องทาง ผมก็บอกเขาไปว่า ถ้าขายได้ตัวละ 30 เหรียญแต่ต้องขายหมดผมจะจ่าย Commission ให้แกตัวละ $10.00 แล้วเขาก็ถามผมว่ามีกี่ตัวผมก็บอกว่าทั้งหมดมีเกือบ 500 ตัว เขาก็บอกว่าเอางี้ ..วันพุธแรกของเดือนมกราคมหลังปีใหม่ ให้ผมขนไปที่โชว์รูมเขาให้หมด ที่ Dallas Market Center เขาจะมี Market Week ซึ่งพวกเจ้าของร้านหรือห้างต่างๆจะไปสั่งของเข้าร้านกัน (แล้วผมจะอธิบายถึงระบบการค้าของเขาทีหลัง) ฝรั่งคนนี้ชื่อ Joe ครับ
แล้วผมก็ขับรถกลับบ้านที่เมือง Houston ก็อีก 4 ชั่งโมงข้างหน้าถึงจะถึง ขับรถกลับด้วยความผิดหวังแต่ก็ไม่สิ้นหวังเสียทีเดียว ยังมีให้ลุ้นอีกช่วง หลังจากฉลองคริสต์มาสแล้วผมก็เตรียมตัวไป Dallas อีกครั้งหนึ่งและได้ไปเช่ารถ Van ไว้เพื่อขนของไป พอถึงวันนั้นผมก็ไปถึงประมาณ 8 โมงเช้า รู้ทิศทางแล้วว่าจะเอาของเข้าไปได้ยังไงเพราะ Joe ได้อธิบายบอกไว้แล้วว่าต้องทำยังไง เมื่อจัดการเรื่องของเสร็จผมก็เข้าไปในตึก (วิธีเดียวกับครั้งแรก) ที่โชว์รูมของโจ ไปถึงก็เห็นเขาสาละวนเปิดกล่องเอาเสื้อผ้าที่อยู่ในถุงพลาสติกมากองๆบนพื้นหลังโต๊ะนั่ง ผมก็เอาลิสต์ยื่นให้โจไปว่ามีทั้งหมดกี่ตัวกี่สีกี่ไซด์ ซึ่งก็หมายถึง Inventory Lists แล้วเขาก็เลือกมาตัวหนึ่งเป็นสีแดงเอามารีดให้ดูดีแล้วก็เอาไปใส่ให้ Manikin (หุ่น) ในตู้โชว์ติดประตูทางเข้าโชว์รูม ดูแล้วสวยมาก
ลืมบอกไปว่าวันนี้คนมาเยอะมากไม่รู้มาจากไหนกัน ยืนเป็นแถวยาวรอเข้าแถวลงทะเบียน ตาม Parking Lot แม้จะกินบริเวณกว้างใหญ่ แต่ก็หาที่จอดลำบากเหมือนกันพวกที่มานี่ส่วนมากก็จะเป็นเจ้าของร้านหรือห้างตามเมืองเล็กเมืองน้อยต่างๆหรือไม่ก็พวก Buyer ของห้างร้าน พวกนี้มักจะมาตามนั้นแล้วรู้แล้วว่าจะไปสั่งซื้อหรือดูของที่ไหน อย่างเก่งก็อยู่ได้แค่ 2 วันต้องกลับเพราะจะทิ้งร้านไว้นานไม่ได้ เรื่องที่จะมีเวลามาดูหาของแปลกๆใหม่ๆนั้นพวกเขาไม่ค่อยมีเวลาหรอกครับนอกจากมีเวลาอยู่นานๆมีคนดูแลร้านให้อะไรทำนองนี้
ประมาณ 10 โมงเช้าคนก็เริ่มเดินตาม Hall way ขวักไขว่ นายโจไปยืนอยู่ที่ หุ่นพร้อมโปรโมทว่างั้น ลูกค้าคนแรกเข้ามาอายุ 60 กว่าแล้วมาชมว่าชุดอะไรทำไมสวยอย่างนี้ นายโจก็อธิบายว่ากว่าจะมาเป็นชุดอย่างนี้ได้ต้องใช้เวลานานเท่าไหร่ เป็นงานฝีมือที่เอามาแปะตรงหน้าอกด้วย ทุกชุดจะเป็น Original มีตัวเดียวเพราะลายที่หน้าอกแม้จะคล้ายกันแต่จะไม่มีตัวใดลายเหมือนกันเป๊ะเลย ฝรั่งเขาชอบงานฝีมือ ยิ่งมี Story Behind แล้ว เขายิ่ง appreciate ตกลงยายซื้อไป 2 โหลโดยเลือกคละกันไป หิ้วไปเลย เป็น First Sale of the day ได้เช็คมา $720.00 พวกเราดีใจมาก....
เอาไปเอามาผมชอบนายโจนี่แฮะผมเรียนรู้เทคนิคการพูดการขายจากนายโจได้มากๆเลยและชอบฟังเวลาเขาขาย รายไหนรายนั้นต้องซื้อ 6 ตัวบ้าง 12 ตัวบ้าง มีเจ้าหนึ่งซื้อไป 48 ตัวเขาบอกว่าเขามีอยู่ 4 ร้านจะเอาไปวางร้านละโหล พวกเราตื่นเต้นกันมากๆเลย นายโจก็บังคับให้ลูกค้าจ่ายเงินสดบอกว่าจะต้องให้ผมเอาไปเป็นทุนทำมาใหม่อีกอะไรทำนองนั้นแต่เขามีวิธีการพูดดีกว่านั้น สรุปแล้วพอวันศุกร์ตอนเที่ยงๆของหมด เราก็มานั่งคุยกันต่อ นายโจถามผมว่าจะมีปัญหาอะไรไหมถ้าจะไปทำมาขายต่อเขาคิดว่าเขาขายได้แล้วเขามีความเชื่อมั่นว่าชุดนี้จะ Hot ผมก็บอกเขาว่าจะไปทำมาใหม่ไม่มีปัญหาอะไรเขาจะเป็นคนขายหรือ Represent Item Line ของผมตลอดไปหรือเขาก็บอกว่าใช่ แล้วเขาจะหาเซลส์แมนที่รู้จักกันในต่างรัฐช่วยเอาไปขายให้โดยส่งแค่ตัวอย่างไปและเขา Guarantee ต่อเพื่อนของเขาว่าชุดนี้ Hot ซึ่งใครๆก็อยากได้ของ Hot ไปขายเพราะมันขายง่าย
เราไปคุยต่อกันที่ร้านอาหารจีน นายโจถามผมว่าจะตั้งชื่อ Line ว่ายังไงดีผมก็บอกว่า จุดขายของชุดนี้คือแผ่นที่ชาวเขาเผ่าแม้วทำแล้วเขาก็เอามาแปะบนหน้าอก ฉะนั้นเพื่อเป็นการให้เกียรติงานของเขาเราจะตั้งชื่อว่า Meo(แม้ว)Fashions ดีไหม นายโจก็บอกว่าดี ดังนั้น Line และ Brand name Meo(ฝรั่งจะออกเสียงมีโอ)Fashions จึงเกิดขึ้น ต่อมานายโจได้ไปทำป้าย Meo Fashions ติดไว้ทางซีกหนึ่งของโชว์รูมเขาเพื่อแสดงว่าเขา Represent Line นี้ เราตกลงกันว่านายโจจะดำเนินการขายต่อไปหมายถึงรับ Order มาแล้วให้ระบุว่า ship as Ready หมายถึงไม่มีกำหนดเวลาส่งหากทำเสร็จของมาถึงก็จะส่งให้ Lot ต่อไปผมต้องทำมาสต๊อกไว้ 2,000 ตัวก่อนเผื่อลูกค้าสั่งมาจะได้มีให้เลย
เมื่อคุยงานเสร็จแล้วก็เกือบ 3 ทุ่มผมขี้เกียจขับรถกลับ Houston ตอนนั้นเลยนอนค้างที่โรงแรมต่ออีกหนึ่งคืนแต่เช้า 6 โมงผมก็กลับ ระหว่างทางผมก็คิดไปต่างๆนานาหากเราจะเดินหน้าเราจำเป็นต้องมี Office มีอุปกรณ์เครื่องใช้ใน Office ทุกอย่างเช่นเครื่องพิมพ์ดีด โต๊ะนั่ง ชั้นวางของ ฯลฯ และต้องพิมพ์ Purchase Order มีโลโก้หรือชื่อ Line ของเราเองด้วย พอกลับถึง Houston ผมก็ไปหา Office เพื่อที่จะได้ Address มาพิมพ์ใส่ใน Purchase Order เมื่อหาได้แล้วอยู่ไม่ไกลจากบ้านนักขับรถประมาณ 15 นาทีถึง ที่จอดรถก็กว้างขวางสะดวกดี ผมบอกกับ Landlord ผมจะเช่าแต่ผมจะขอจองไว้ก่อนโดยการให้มัดจำไว้ อีก 6 อาทิตย์ผมจะ Move in แล้วก็ค่อยคิดค่าเช่าตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นไป Landlord ก็ตกลง ที่ผมทำอย่างนี้เพราะจะได้ใช้ที่อยู่ได้เลย ติดเบอร์โทรศัพท์ไว้ก่อนได้เลย เพื่อจะได้เดินหน้าพิมพ์ Purchase Order ของเราเองส่งไปให้โจใช้ แล้วผมไปหาแบบหรือตัวอย่าง Purchase Order มาจากไหน ก็เอามาจาก บริษัทอื่นที่โจ Represent เขาเหมือนกันนั่นแหละ กะเหรี่ยงอย่างผมหัวไวเรียนไวครับ....55555
โปรดติดตามตอนต่อไปที่นี่... ลาออกจากงานแล้วกลับเมืองไทยอีกครั้งไปผลิตชุด ต่อไปผมจะขอเรียกว่า "ชุดแม้ว" ตามภาพตอนที่ 8 นะครับ
San Francisco , California , U.S.A.
ตอนที่ 11...ลาออกจากงานแล้วกลับเมืองไทยอีกครั้งไปผลิตชุด ต่อไปผมจะขอเรียกว่า "ชุดแม้ว" ตามภาพตอนที่ 8 นะครับ
ผมไปลาออกจากงานด้วยเหตุผลที่ว่าจำเป็นต้องกลับมาอยู่เมืองไทยสักพักและแนะนำเขาว่า นาย Keith ดูแลต่อได้ผมหมายถึงหากเครื่องโบว์ลิ่งมีปัญหาเขาแก้ไขได้แต่จะจัดการบริหารทั้งหมดนั้นก็ต้องลองดูเขาไปถึงไม่มีผมก็ใช่ว่าธุรกิจจะอยู่ไม่ได้เสียเมื่อไหร่ ผมสะสางงานต่ออีกสามวันแล้วผมก็กลับเมืองไทย
มาถึงเมืองไทยก็คิดว่าจำเป็นจะต้องหาคนผลิตให้ใหม่แบบว่าผมไม่ต้องกลับมาบ่อยๆเพราะการกลับมาแต่ละครั้งก็เสียค่าใช้จ่ายเยอะ อยากได้แบบที่โทรมาสั่งได้เลยว่าจะเอาอย่างไหนเท่าไหร่ แล้วผมก็ได้ไปเดินสัมภาษณ์คนขายเสื้อผ้าอย่างนั้นที่ไนท์บาร์ซ่าส์คุยกับหลายคน แต่ผมตัดใจเลือกเอาผัวเมียจีนฮ่อคู่หนึ่งเพราะท่าทางดูซื่อดี อีกวันก็ไปดูงานที่บ้านเขาก็เห็นว่ามีคนมาทำงานตัดเย็บให้สิบกว่าคน เขาบอกว่า 2,000 ตัวนี่เขาทำให้ได้เสร็จภายในสามอาทิตย์ คือนับเอาจากความสามารถของคนงานว่าใครเย็บเสร็จต่อวันได้กี่ตัว เฉลี่ยออกมาแล้วเย็บได้ Complete คนละประมาณ 10 ตัว คนตัดผ้าคือสามีของเขาเอง ผมคิดแล้วก็น่าจะได้ตามที่เขาพูดก็เลยตกลงจ้าง โดยบอกเขาว่าหากทำเสร็จ 2-3 ร้อยตัวก็ให้เรียกพ่อผมไปรับเอาไปเก็บไว้ที่บริษัทคาร์โก้แล้วก็จะจ่ายให้ตามนั้นเป็นงวดๆไป
ผมบอกเขาว่าผมรู้ราคาวัตถุดิบทุกอย่างรวมทั้งค่าแรงงานต่อวันต่อคนด้วย คิดเสร็จผมก็บอกเขาว่าผมต้นทุนเท่านี้ผมจะบวกให้ได้กำไรตัวละ 20 บาทแล้วผมก็จะมีงานมาป้อนให้อย่างสม่ำเสมอถ้าการตัดเย็บเขาดีไม่มีที่ติ เขาก็ตกลงตามที่ผมเสนอราคาซึ่งมันยังแพงกว่าตามที่เขาขายกันเกลื่อนในตลาด (ตัวละ 80-120 บาทแล้วแต่ชนิดของผ้า) ผมก็ให้ทุนเขาไปก้อนหนึ่งจำไม่ได้ว่าเท่าไหร่ คิดว่าประมาณ สามถึงสี่หมื่นบาทนี่แหละ (งานนี้ 2,000 ตัวเขาก็จะมีกำไร 40,000 บาทเห็นๆในเวลาสามอาทิตย์) หากทำเสร็จครั้งละสองสามร้อยตัวพ่อผมก็จะเป็นคนไปจัดการนับ ตรวจเช็คจ่ายเงินแล้วก็เรียกบริษัทคาร์โก้มารับเอาไป
ตกลงผมก็เบาใจในเรื่องนี้แต่ก็ไปตรวจดูเขาทำงานแทบทุกวัน เจ๊แกเลือกจัดสีให้เข้ากันได้ดีมากแกละเอียดและก็พิถีพิถันจริงๆ ผมมีเวลาว่างตอนกลางคืนก็ไปหาซื้อแผ่นผ้าลายปักที่เอามาเย็บติดกับตัวชุดที่หน้าอกที่ชาวเขาทำในเวลาว่างแล้วนำมาขาย เพื่อเอามาสำรองไว้เผื่อเจ๊แกหาไม่ได้แต่แกก็มีคนเอามาส่งให้เลือกประจำ สนนราคาในตอนนั้นก็ผืนละประมาณ 15 บาทผมเก็บสต๊อกไว้เยอะเลย
ผมบุกไปถึงแค้มป์อพยพชาวเขาที่แพร่หรือน่านนี่แหละผมจำไม่ได้แล้ว ไปหาซื้อถึงแหล่งมาเก็บไว้เลย ก็ได้มามากโขอยู่ ผมไปเห็นชาวเขาที่อยู่ในศูนย์อพยพแล้วไม่รู้เป็นไง ผมรู้สึกสงสารเขามากในชะตากรรมของเขาที่ต้องระหกระเหินมีชีวิตอยู่อย่างนั้น ผมเด็กบ้านนอกเหมือนกันชีวิตผกผันให้ได้ไปอยู่อเมริกาผมก็ต่อสู้กับชีวิตลำบากลำบนเหมือนกัน แต่สภาพความเป็นอยู่ของชาวเขาในศูนย์ต่างกับผมราวฟ้ากับดิน แต่ต่อมาผมก็ทราบว่าพวกเขาได้ย้ายไปอยู่ประเทศที่สามมากเหมือนกันโดยเฉพาะอเมริกาที่เป็นมิตรกับพวกเขาเมื่อครั้งสงครามในเวียดนาม
เมื่อทุกอย่างที่เชียงใหม่เข้าที่เข้าทางผมก็กลับสหรัฐเพื่อจะไปรอรับของ งานครั้งนี้จะขนส่งโดยทางเครื่องบินถึงมันจะแพงหน่อยแต่ก็จำเป็นเพราะจะให้สินค้าไปค้างอยู่ในเรือเป็นเดือนๆไม่ได้ เงินทุนผมก็น้อยต้องรีบเอาไปแปรสภาพเป็นเงินสดจะได้มีทุนหมุนเวียน
มาถึงตรงนี้ก็อยากจะเขียนอธิบายถึงการตลาดของสหรัฐว่าเขาซื้อขายกันยังไงในตอนนั้นหรือแม้แต่ในขณะนี้แต่ระบบการสื่อสารและซื้อขายกันได้ทางอินเตอร์เน็ตการตลาดก็คงเปลี่ยนไปเยอะเหมือนกัน ผมจะเล่าคร่าวๆถึงเรื่องตลาดเสื้อผ้านะครับเพราะหากได้อ่านเรื่องของผมตอนต่อๆไปจะเข้าใจได้ง่ายขึ้น
ศูนย์กลางแฟชั่นของโลกนอกจากจะมีที่ประเทศฝรั่งเศสและอิตาลี่แล้ว New York ก็เป็นศูนย์กลางอันดับหนึ่งในสามรองจากสองแห่งที่กล่าวมา ร้านรวงต่างๆที่ขายเสื้อผ้าทั้งถูกและแพงไม่ว่าเล็กหรือใหญ่ ต่างก็ปรารถนาที่จะไปซื้อไปดูทั้งในอิตาลี่หรือฝรั่งเศส แต่ก็ไปไม่ได้เพราะค่าใช้จ่ายมันสูงแม้แต่ใน New York เองร้านรวงในสหรัฐเองก็ยังไปไม่ได้เพราะค่าใช้จ่ายอีกนั่นแหละ ประเทศสหรัฐใหญ่เป็น 18 เท่าประเทศไทยจากฝั่งทะเลถึงฝั่งทะเลห่างกันหลายพันกิโลเมตร ดังนั้นเขาจึงมีที่ซื้อที่ขายตามเมืองใหญ่ๆ (ต่อไปผมจะขอเรียกว่า Market นะครับ) เช่น Dallas, Atlanta, Chicago, Seattle Florida, Los Angeles, Denver, San Francisco และอีกหลายๆแห่ง ที่ Las Vegas ก็มีการจัดโชว์เหมือนกันแต่เขาไม่มี Market ที่ทำการถาวรคือไปจัดเอาตาม Convention ต่างๆ
ดังนั้นเมืองที่กล่าวมาจะมี Market หรือ Fashion Center อยู่ ก็คงเหมือนตลาดโบ้เบ้หรือใบหยกของเรานั่นแหละ ที่นี่พวกร้านรวงที่ขายเสื้อผ้าก็จะไป Market อยู่ใกล้คือไปได้ง่ายสะดวกและเสียค่าใช้จ่ายน้อย ใน Market ก็จะมีพวก Representative หรือ Salesman ของบริษัทที่ผลิตเสื้อผ้าขายเช่าห้องทำโชว์รูมอยู่ จะใหญ่หรือเล็กก็แล้วแต่ความสามารถของ Salesman นั้นๆ บางทีบริษัทแบรนด์เนมใหญ่ก็มาเปิดโชว์รูมเองเลยขายแต่เฉพาะ Line ของตนเอง Representative ส่วนมากจะขายให้กับหลายๆบริษัทเพราะจะมีรายได้จากการขายคือ Commission เท่านั้น พวกเขาจะได้ประมาณ 3-10% ของยอดขายทั้งนี้ทั้งนั้นก็แล้วแต่ Line ที่เขาขายว่ามีชื่อเสียงปานใด มีชื่อเสียงมากหน่อยก็ได้ % น้อยเพราะขายได้อยู่แล้วไม่ต้องออกแรง Push มาก
ทีนี้คนที่จะไปสั่งซื้อที่ Market นี่เขาก็จะไปช่วงที่มี Market’s Week ซึ่งหมายถึงช่วงที่ทุกโชว์รูมจะเปิดเขาจะมีเป็นช่วงๆปีละ 4-5 ครั้งเรียกว่า Winter, Summer, Fall หรือ Holiday’s Market อะไรทำนองนี้ ตามชื่อของ Market ก็จะมีเสื้อผ้าของฤดูนั้นๆให้สั่งซื้อล่วงหน้า Market ช่วงที่คนจะไปสั่งซื้อมากที่สุดคือ Summer and Holiday’s Market ทั้งนี้เป็นเพราะ มันจะเป็นช่วงที่ขายดีที่สุด
จะสั่งซื้อของเข้าร้านไปขายช่วงฤดูร้อนก็ต้องไป Market Week ที่เขาจัดในเดือนมกราคม จะสั่งไปขายช่วง Winter หรือ Holidays ก็ต้องไปสั่งช่วงเดือน กรกฎาหรือสิงหาคม ทั้งนี้เป็นเพราะ เดือนมกราคมเป็นเดือนต้นปี ร้านค้าจะขายดีช่วงเดือน November กับ December เลยมีเงินหรือ Budget ที่จะไปสั่งของเข้าร้านช่วง Summer ซึ่งจะเป็นระหว่างเดือน กรกฎาหรือสิงหาคมและก็ช่วง Summer ก็ขายดีมีเงินไปซื้อของเข้าร้านสำหรับ Holidays ต่อไป มันก็จะหมุนเวียนไปอย่างนี้ ไม่ทราบว่าผู้อ่านจะงงกับที่ผมอธิบายมาหรือเปล่า....55555 ถ้าไม่เข้าใจหรืออยากรู้อะไรถามได้นะครับ
ที่นี้มาว่ากันถึงนิสัยของคนซื้อ (Buyers) นี่ผมว่าแทบจะทุกๆแห่งในโลกเขาจะไปสั่งซื้อกับคนขายที่คุ้นเลยกัน ร้านค้าพวกนี้ก็เหมือนกันก่อนที่เขาจะไป Market เขาก็วางแพลนไว้แล้วว่าจะไปสั่งของที่โชว์รูมไหน ยิ่งถ้าเวลาจำกัดแล้วถึงกับต้อง Make Appointment ไว้เลยทีเดียวจะได้ไม่เสียเวลารอ ในร้านสั่งยี่ห้อไหนมาขายบ้างก็จะพยายามนัดยี่ห้อนั้นไว้เลย แบบที่จะมาเดินโทงๆหาของสวยไปขายนั้นมีน้อยครับ อีกอย่างหนึ่งมันมีเป็นพันๆ โชว์รูมให้ดูแล้วกี่วันถึงจะเดินหมด Market Week ส่วนมากเขาก็มีแค่ 5-6 วันเท่านั้น อีกอย่างหนึ่ง Buyers มีเวลาทิ้งร้านและงาน (ถ้าทำงานให้ห้างใหญ่ๆ) ไม่เกิน 3 วัน มิฉะนั้นแล้วก็จะมีรายจ่ายเพิ่มมากขึ้นเช่นค่าเครื่องบิน ค่ารถ ค่าโรงแรม ค่ากินฯลฯ
ฉะนั้น Buyers จึงรู้ว่าจะต้องไปที่ไหนบ้างส่วน Representative หรือ Salesman ก็พอจะรู้ว่าจะมีลูกค้าคนไหนมาบ้าง แบบที่จะหลงเข้ามาซื้อมีไม่เกิน 30% ของของที่ขายได้ทั้งหมด อีกอย่างหนึ่งโชว์รูมพวกนี้เขาจะมี Mailing Lists ของลูกค้าที่เคยมาซื้อก่อนจะมี Market Week เขาก็จะส่ง Post Card หรือ Newsletter ส่งไปให้ลูกค้าว่ามีของอะไรใหม่ๆที่นำเสนอบ้าง ถ้าลูกค้าชอบเขาก็จะแพลนที่จะไปดู
ข้อสำคัญอีกอย่างหนึ่งสำหรับ Buyers ก็คือเวลาสั่งซื้อแล้วเขาจะได้เครดิตหลังจากที่ได้รับของแล้ว 30 วันถึงจ่าย ระบบเช็คเครดิตลูกค้านี่ในอเมริกาถือเป็นเรื่องสำคัญมากถ้าเครดิตไม่ดีก็ไม่มีใครส่งของให้นอกจากจะจ่ายเป็นเงินสดหรือ COD (Cash on Delivery หรือเก็บเงินปลายทางนั่นเอง)
การจ่ายค่า Commission ให้ Salesman ก็เหมือนกัน ถ้าเราตัดสินใจส่งของให้ลูกค้าไปแล้วลูกค้าไม่จ่ายเราจะไม่จ่ายหรือหักเงินจาก Salesman จากค่าคอมไม่ได้ ในเมื่อเราตัดสินใจส่งเราก็ต้องจ่ายค่าคอมให้เขา ถ้าเราไม่ส่งก็ต้องมีเหตุผลเดียวคือเครดิตลูกค้าไม่ดีเท่านั้น ไม่ส่งเพราะว่าไม่มีของส่งให้ไม่ได้ ก่อนทำงานร่วมกันก็ต้องมีสัญญาผูกมัดกันไว้ก่อนระหว่างผู้ผลิตกับ Sales Representative
ดังนั้นพวก Salesman นี่เขาก็ระวังไม่อยากเสียเวลา ถ้าเจอลูกค้าใหม่เขาก็จะถามมันมีในใบสั่งซื้อว่าจะจ่ายยังไง ตรงช่องคำว่า Terms ว่าจะกรอกยังไง เช่น 2/10 Net 30 หมายถึงถ้าจ่ายภายใน 10 วันให้หักออกจากบิลได้ 2% หรือไม่ก็จ่ายเต็มตามบิลหลังจาก 10 วันแต่ไม่เกิน 30 วัน หากครบ 30 วันยังไม่ได้จ่ายเงินเราก็จะมีใบเตือนหรือ Reminder แบบหวานๆไปก่อน ผ่านไปอีก 1 อาทิตย์ยังไม่ได้จ่าย ก็ส่งใบเตือนหนักขึ้นอีกนิด อาทิตย์ที่สามผ่านไปยังไม่จ่ายก็จะมีใบเตือนบอกว่าถ้าไม่จ่าย We have no choice but to turn your account to Collection’s Agency and report to The Credit Bureau about your late outstanding balance. หมายถึงถ้าไม่จ่ายก็ไม่มีทางเลือกจะส่งบัญชีไปให้บริษัททวงหนี้และรายงานสำนักงานเครดิตถึงการจ่ายบิลล่าช้าของคุณ
ท่านผู้อ่านก็พอจะเข้าใจนะครับ...
โปรดติดตามตอนต่อไปที่นี่... เอาชุดแม้วเข้าตลาดครั้งที่ สอง....ที่ Dallas Apparel’s Market
Jacksonville , Florida , U.S.A.
ตอนที่ 12...เอาชุดแม้วเข้าตลาดครั้งที่ สอง....ที่ Dallas Apparel’s Market
หลังจากที่ชุดแม้วใกล้จะเสร็จพร้อมส่งผมก็จัดการเรื่องการจะส่งออกเตรียมเอกสารทุกอย่างให้บริษัทคาร์โก้ไปดำเนินการแล้วผมก็กลับ Houston Texas เพื่อจัดการเรื่อง Office และรอรับของ
เมื่อถึงบ้านแล้วผมก็โทรไปหานาย Joe บอกเขาว่าทุกอย่างเรียบร้อยอีกไม่เกิน 10 วันของจะมาถึง เขาก็บอกผมว่าดีละและก็บอกข่าวดีให้ผมว่าตอนนี้เขามีออเดอร์จากลูกค้าใหม่และจากลูกค้าที่ซื้อไปแล้วและ Reorder ใหม่อีกเกือบ 400 ตัว ข่าวนี้ผมก็ดีใจจนเนื้อเต้นคิดว่าอนาคตไม่มืดเสียทีเดียวยังมีทางให้ลุ้นอยู่ แล้วผมก็รีบไปดำเนินการเรื่อง Office จัดหาโต๊ะและเก้าอี้สำหรับนั่งทำงานพร้อมอุปกรณ์ในการใช้ในสำนักงานเช่นเครื่องพิมพ์ดีด ฯลฯ ใช้เวลาสองวัน Office ก็เป็นรูปเป็นร่างพร้อมใช้งาน ผมก็มีโต๊ะทำงานผมในห้องเล็ก ห้องใหญ่ก็มีอีกโต๊ะหนึ่งสำหรับ Receptionist หรือ Secretary นั่งทำงาน มีโทรศัพท์วางไว้ได้ทั้งสองโต๊ะ แต่ขอโทษครับตอนนั้นยังไม่มีใครมานั่งทำงานด้วย One man show เลย...55555
ผมได้รับเมล์จาก Joe เขาส่งใบออเดอร์มาให้ผมผมก็เปิดดู มีกว่า 20 ออเดอร์ เรา Set Minimum Order ไว้ที่ 6 ตัวขึ้นไปสำหรับร้านเล็กๆสั่งไปลองขาย ถ้าเขาขายได้เขาก็จะสั่งมาอีก รวมออเดอร์แล้วก็เกือบ 400 ตัวอย่างที่โจโทรมาบอกก่อนหน้านั้น
และแล้วปัญหาก็เกิดขึ้นเมื่อผมเห็นในช่อง Terms (การจ่าย) ใน Purchase Order ของเรา Joe เขียนว่า Net 30 ก็พอรู้ว่ามันคืออะไรเพราะเคย Take Course Accounting มาเหมือนกัน ที่เป็นปัญหาคือเรารอเก็บเงินนานอย่างนั้นไม่ได้เพราะทุนผมน้อยแล้วระหว่างที่รอจะเอาเงินที่ไหนมาใช้มาหมุน ผมก็นึกว่าจะได้ขายเป็นเงินสดอย่างคราวที่แล้วคือลูกค้าจ่ายเลย
ผมก็เลยโทรไปหาโจบอกเขาถึงปัญหาของผมเขาก็บอกว่าเอาอย่างนี้เขาจะโทรไปหาลูกค้าร้านเล็กๆหมายถึงที่เป็นเจ้าของผู้จัดการหรือขายเองคนเดียวนั่นแหละให้เขียนเช็คส่งมาให้ผมก่อนเพื่อช่วยเหลือกันโดยอ้างว่าผมเป็นพ่อค้าเล็กๆมีเงินทุนหมุนเวียนน้อยแต่มี Hot Item (ของดี) อยู่ในมือ ส่วนร้านค้าขนาดปานกลางหรือที่มีหลายสาขาขึ้นไปเขาจะไม่เล่นด้วยเพราะเขามีระบบบัญชีของเขาอยู่ ถ้าไปถามเขาให้จ่ายอย่างนั้นเขาจะโมโหเอา ดีไม่ดี Cancel
ผมได้ฟังนายโจพูดก็ตกลงตามนั้น นายโจนี่ก็หัวไวดีผมชอบมีปัญหาอะไรก็บอกกันตรงๆ มาถึงตรงนี้จะขอบอกเรื่องที่ผมลืมบอกไปว่าก่อนที่เราจะเปิดร้านนี้ผมบอกโจว่าผมจะจ่ายคอมให้เขาตัวละ 10 เหรียญมันจะหนักไปผมจะอยู่ไม่ได้ขอจ่ายแค่ 7 เหรียญพอ นายโจเขาก็ตกลง
ปัญหาไม่จบลงแค่นี้ผมจะส่งของไปให้ลูกค้าผมจะต้องมีกล่องมีแบบฟอร์มหลายอย่างเช่น มี Invoice มี Packing List ที่ต้องส่งไปกับกล่อง มี Label สำหรับพิมพ์จ่าหน้าถึงลูกค้า มีเทป มีซองจดหมายที่มีชื่อยี่ห้อของเราอยู่ แล้วจะต้องหาบริษัทขนส่งด้วย ด้วยความที่ด้อยหรือไม่มีประสบการณ์เลยทำให้ไม่ได้คิดถึงเรื่องนี้เลย จะคิดก็ไม่ได้เพราะไม่รู้ มารู้มาคิดได้ก็ต่อเมื่อจะต้องส่งของนี่แหละ
เอ..แล้วเราจะไปพิมพ์แบบฟอร์มที่ไหนละเนี่ย จะออกแบบยังไง ก็เลยไปเปิดสมุดโทรศัพท์ดูก็เห็นมีหลายบริษัทที่เสนอสิ่งพิมพ์เหล่านี้ที่อยู่ใน Houston และก็ต่างรัฐผมก็โทรไปที่บริษัทต่างรัฐแห่งหนึ่งให้เขาส่ง Catalog มาให้เขามีแบบฟอร์มให้เลือกแล้วแต่ว่าเราจะจั่วหัวยังไง
จัดการเรื่องนี้เสร็จพอดีชุดแม้วมาถึงแล้วก็ให้ Broker ไปจัดการออกของให้ เรื่องนี้รู้เพราะทำมาแล้วเมื่อครั้ง 500 ตัวนั่น ตอนนั้นเอาเสื้อผ้าเข้าสหรัฐหรือสินค้าอื่นๆต้องเสียภาษีด้วยนะครับ แต่ก็มีบ้างที่ยกเว้น จะรีบเอาของออกก็ต้องจ่ายค่าล่วงเวลาให้ Custom เขานะครับอันนี้ก็มาเรียนรู้ทีหลัง จากนี้ผมก็ไปที่ UPS เพื่อไปขอเปิดบัญชีเพื่อที่จะสะดวกเวลาส่งของและก็รู้ว่าเราไม่ต้องขนไปส่งที่นั่นเปิดบัญชีแบบ Merchant เขาก็จะมารับเองแต่ก็ต้องโทรบอกเขารายวันนะครับถ้าวันไหนมี Pick Up
เมื่อ Broker ออกของเสร็จเขาก็เอามาส่งให้...ปัญหาอีกแล้ว...จะเก็บของยังไงจะเอากองรวมกันไว้เวลาจะส่งให้ลูกค้าก็จะยุ่งและเสียเวลาตาย(ห่า) เพราะในแต่ละออเดอร์เขาจะระบุมาเลยว่าจะเอาสีนั้น Size นี้แล้วจะต้องไปขุดไปค้นเอาในกล่องตั้ง 60 กว่ากล่องๆหนึ่งใส่ได้ 30 ตัว ซึ่งก็ไม่รู้ว่ามันอยู่ในกล่องไหนก็จะเสียเวลา
ดังนั้นไวเท่าความคิดต้องทำชั้นวางของจัดระเบียบ ชั้นไม่ต้องซื้อหาเอาลังที่เขาตีใส่กล่องมานั่นแหละเอามาวางทับซ้อนๆกันให้สูงพอเอื้อมไปหยิบได้ เอากล่องกระดาษที่เขาใส่มานั่นแหละฉีกด้านฝากล่องออกแล้วก็เอาใส่ไปในชั้นลังไม้นั่นแหละ แบ่งเป็น 3 Section เพื่อเก็บตาม Size ก่อน ก็มี ขนาด S M L เอาชุดแม้วไปใส่ตาม Size ตามสีมันมันก็ง่ายแล้วทีนี้...งานพวกนี้ทำเองหมดครับยังไม่มีลูกจ้างยังจ้างไม่ไหว ทำเองได้ก็ทำไปก่อน...อาข่าเก่งมะ....
แล้วผมก็ออกไปหาซื้อกล่องมาหลายขนาดต่างกันสำหรับใส่มากใส่น้อย ได้รับ Catalog จาก Nebs. มาแล้วก็เลือกเอาแบบที่เหมาะสมกับธุรกิจเราที่สุด เพียงแต่บอกเขาว่าเราจะเอา Catalog เบอร์ไหนอย่างไร สมันนั้นธุรกิจมันไม่ได้ออนไลน์สะดวกสบายอย่างสมันนี้นะครับ อยากจะรู้ว่า Nebs. เป็นแบบไหน เชิญไปคลิ๊กดูที่ลิงค์นี้ครับ... ถ้าไปดูก็จะเห็นฟอร์มต่างๆที่ผมเล่ามานั้นแหละก็จะเข้าใจได้ง่ายขึ้นแต่ก็อีก High-Tech สมัยนี้มันมีโปรแกรมให้เราใช้แบบ Print ออกมาได้เลยก็จะสะดวกรวดเร็วขึ้น
ระหว่างที่ทำงานพวกนี้อยู่ผมก็ได้รับเช็คที่ลูกค้าส่งมาให้ผมหลายใบอยู่...ปัญหาอีกแล้ว...จะเอาไป Deposit (ฝาก) ในบัญชีส่วนตัวก็ไม่ได้เพราะเขาสั่งจ่ายมาในนามบริษัทเราก็ต้องเปิดบัญชีในนามบริษัท ลูกค้าก็จะได้รู้ว่าเช็คมา Clear ถูกที่ ถ้าเอาไปเข้าบัญชีอาข่าธนาคารก็ไม่รับอยู่ดี ก็เลยเปิดบัญชีเป็น Merchant Account จะเปิดบัญชีอย่างนี้ก็ต้องมี ID (อเมริกาใช้ใบขับขี่นั่นแหละครับ) ของตัวเอง Business License (ใบอนุญาตประกอบธุรกิจ) อันนี้ก็ต้องไปที่ City ไปกรอกฟอร์มขอเขา
อยากจะบอกอย่างหนึ่งว่าเวลาเราไปติดต่องานที่ Government Office ต่างๆ เขาจะไม่มีการตุกติกเยิ่นเย้อหรือต้องให้ใต้โต๊ะเหมือนบ้านเรา ระเบียบเขาต้องการอะไรจัดหาให้ตามนั้นเขาจะบริการอย่างดีและที่สำคัญก็คือตามคิวเท่านั้นนะครับ
เมื่อผมได้ License มาผมก็เอาไปเปิดบัญชีที่ธนาคารแล้วก็เอาไปใส่กรอบไปแขวนไว้ที่ Office หมายเลขใน License นั่นแหละจะเป็นหมายเลขประจำตัวผู้เสียภาษีของร้านค้าเท่านั้นไม่ใช่การเสียภาษีส่วนตัว อันนั้นมันจะมีอีกใบหนึ่งเรียกว่า Social Security Number ไม่ว่าใครถ้าไม่มีใบนี้จะไปสมัครรับจ้างทำงานที่ไหนไม่ได้นอกจากจะไปรับจ้างทำงานเป็นเงินสดแต่ก็ผิดกฎหมายทั้งนายจ้างลูกจ้างเพราะจะไม่มีการหักภาษีให้รัฐบาล คนไทยที่ไปรับจ้างทำงานเป็นพ่อครัวแม่ครัวอยู่ที่สหรัฐแล้วไม่มีใบอนุญาตทำงานหรือว่าเป็น "โรบินฮู้ด" ต่างก็รู้ดีครับ...ว่าขมขื่นเพียงใดถ้าไปเจอนายจ้างที่เอารัดเอาเปรียบ
เมื่อได้รับฟอร์มต่างๆมาแล้ว ผมก็จัดการส่งของไปตามออเดอร์ที่มีอยู่ทำเองทุกอย่างเพราะยังไม่มีคนช่วย ผมจัดการส่งรายละเอียดของที่เหลืออยู่ในสต๊อกว่ามีสีและ Size อะไรบ้างเพื่อที่จะขายได้ตามที่มีอยู่และก็ส่งได้ทันที
ประมาณกลางเดือนเมษาก็มี Market Week ที่ Dallas อีก คราวนี้ผมก็เตรียมตัวที่จะไปเหมือนกันแต่จะไม่เอาของไปอย่างครั้งก่อนหากมีออเดอร์ก็จะส่งของตามที่เขาสั่งมา สรุปแล้ว 5 วันสนุกมากได้ออเดอร์มาเพียบพันกว่าตัวที่มีเหลืออยู่ส่งไม่พอต้องค้างออเดอร์ไว้สำหรับที่เขาระบุส่งให้ได้ตอนไหนมันจะมีอย่างนี้ตรงช่อง Ship When เราจะถามลูกค้าว่าจะให้ส่งเมื่อไหร่เช่น..
As ready...หมายถึงพร้อมเมื่อไหร่ก็ส่งได้ ไม่มีกำหนด
90 Days...หมายถึงส่งได้ภายใน 90 วันตั้งแต่วันที่สั่งหรือไม่ก็ระบุวันที่มาเลยว่าจะให้เริ่มส่งเมื่อไหร่
ผมได้เรียนรู้อะไรหลายๆอย่างจากการไปตลาดครั้งที่สองนี้ นายโจนี่ผมถือว่าเป็นครูผมเรื่อง Sales เลย
โปรดติดตามตอนต่อไปที่นี่... กลับเมืองไทยอีกครั้ง...มีออเดอร์อยู่ในมือเยอะ
Las Vegas , Nevada , U.S.A.
ตอนที่ 13...กลับเมืองไทยอีกครั้ง...มีออเดอร์อยู่ในมือเยอะ
การจะกลับเมืองไทยคราวนี้มันไม่เหมือนครั้งก่อนๆเพราะยังไม่มี Office ตอนนี้มีแล้วจะปิดก็ไม่ได้เพราะเริ่มมีลูกค้าติดต่อสื่อสารบ้างแล้ว จะปล่อยให้ Office ร้างอย่างนั้นไม่เป็นการดีแน่ๆจะต้องหาคนที่ไว้ใจได้มาดูแลเพราะมันมีเงินที่ลูกค้าส่งมาเป็นเช็คก็ต้องเอาไป Deposit ที่ธนาคารทุกครั้งที่ได้มา ปรึกษาแม่เด็กดูแล้วเขาก็บอกว่ามีหลานอยู่ที่แคลิฟอร์เนียจะขอเขามาช่วยดูแลก่อนจนกว่าผมจะกลับมาจากเมืองไทย เมื่อติดต่อไปแล้วเขาก็ตกลงที่จะมาช่วยก็ให้พักอยู่ที่บ้านผมนั่นแหละ เมื่อมาแล้วผมก็สอนว่ามีอะไรที่จะต้องทำบ้าง การตอบโทรศัพท์จากลูกค้าหรือว่าใครที่โทรเข้ามา มีออเดอร์เข้ามาจะส่งของหรือแพคของยังไงก็ทำให้เขาดูเป็นตัวอย่างหลังจากนั้นผมก็เดินทางกลับเมืองไทยกะว่าจะอยู่ประมาณ 2 อาทิตย์
กลับเมืองไทยคราวนี้ผมมีออเดอร์ที่จะส่งเกือบ สองพันตัว ที่เอามาครั้งที่แล้วเหลือไม่มาก เมื่อกลับถึงเมืองไทยผมก็ไปหาเจ๊พร้อมกับยื่นออเดอร์ให้แก 4,000 ตัวๆละ 140 บาทก็เป็นเงินห้าแสนกว่าบาท แต่ผมมีเงินติดตัวมาสามแสนเองผมก็เปิดอกคุยกับเจ๊เลยถึงสถานะของผมในตอนนั้น ผมบอกแกว่าผมจะจ่ายให้แก 30% ก่อนเพื่อเอาไปไว้จ่ายค่าแรงงานและจิปาถะอื่นๆก่อน เจ๊มีเครดิตกับร้านขายผ้าได้ถึง 1 เดือนก็ยังไม่ต้องจ่าย ตอนผมมารับของแต่ละครั้งก็จะจ่ายให้อีก 70% ตามจำนวนที่เอาไปจนกว่าเจ๊จะทำส่งได้หมด งานนี้ให้เวลาเจ๊แก 30 วันเจ๊แกก็ตกลง จะไม่ตกลงได้ยังไงครับหากงานนี้เสร็จแกจะได้กำไรตัวละ 20 บาท 4,000 ตัวก็ แปดหมื่นบาทภายใน 1 เดือนมันหาได้ง่ายๆที่ไหนสำหรับคนขายของตามแผงอย่างนั้น ผมแยกออเดอร์ให้ส่งเป็น 2 Lot Lot ละ 2,000 ตัวโดยจัดการเรื่อง Color และ Size ที่ผมจะต้องไป Fill Up order ก่อน
หลังจากนั้นอีกวันต่อมาผมก็ไปเช็คกับเจ๊ว่ามีปัญหาอะไรไหมโดยเฉพาะเรื่องผ้าที่ต้องการว่าเขามีในสต๊อกให้เลยหรือเปล่า เจ๊แกก็บอกไม่มีปัญหาอะไรผมก็เบาใจ แต่ผมก็แวะไปดูความคืบหน้าทุกวัน จีนฮ่อสองผัวเมียคู่นี้ทำงานดีมากเลยต่างคนต่างรู้หน้าที่ของตัวเองแต่เรื่องเงินเมียเป็นคนจัดการและตัดสินใจ....55555
ผมอยู่ไม่ถึงสองอาทิตย์งาน 2,000 ตัวก็เกือบเสร็จ ผมก็เลยตัดสินใจกลับเพราะห่วงทางอเมริกาเหมือนกัน มอบหมายให้พ่อผมเป็นคนจัดการเอาไปให้ที่คาร์โก้หากเมื่อ Lot แรกเสร็จพร้อมกับบัญชีการจ่ายเงินที่ตกลงกับเจ๊ไว้ว่าจะจ่ายยังไงกลับถึงอเมริกาจะรีบโอนส่วนที่เหลือมาให้
เมื่อกลับถึงอเมริกาปรากฏว่านายโจส่งออเดอร์มาอีกเยอะแยะ สี่พันตัวที่สั่งทำไว้ก็ไม่พอหนำซ้ำอีกเป็นเดือนกว่าของจะมาถึงแล้วระหว่างนั้นก็จะมีออเดอร์เพิ่มเข้ามาอีกจะทำยังไงดี(วะ)เนี่ย เอาของจากเมืองไทยมาต้องจ่ายเป็นเงินสดบวกค่าขนส่งค่า Custom อีก ของมาถึงแล้วก็ใช่ว่าจะขายเป็นเงินสดได้ทั้งหมด 70% ต้องให้เครดิตลูกค้ากว่าจะได้ก็ต้องอีกตั้ง 30วัน จะหมุนเงินอย่างไรทัน ทุนเราก็น้อย
คิดแล้วผมก็โทรหานายโจให้มาหาผมที่ Houston เพราะมีเรื่องจะปรึกษา(แหะๆ ตอนนี้ผมเป็น Boss นายโจแล้วนะ) นายโจก็บินจาก Dallas มาหาผมที่ Houston ใช้เวลาบินก็ 1 ชั่วโมงเองผมก็ไปรับนายโจที่สนามบินพามาคุยกันที่ Office ผม เมื่อมาถึง Office ผมก็พูดกับนายโจอย่างเป็นการเป็นงานเลยผมถามนายโจว่า "Joe…What Do you think about this Meo dresses ?" นายโจก็บอกว่า "It’s great I think we can sell a lot of this besides we haven’t cover all the markets yet I believe we will do well…believe me" แปลเป็นไทยก็หมายถึงผมถามนายโจว่าคิดยังไงกับ "ชุดแม้ว" นี้ นายโจก็บอกว่ายอดเยี่ยมมากเราจะต้องขายได้อีกเยอะ เชื่อผมสิเพราะยังไม่ได้ไปโชว์ที่ตลาดอื่นๆเลย
แล้วผมก็ท้าวความถึงความหลังให้นายโจทราบว่าเขาเองก็รู้ว่าทุนรอนผมน้อยเมื่อเขาเชื่อว่ามันจะโตเราก็จะโตด้วยกันแต่ผมขอความร่วมมือเขาสองอย่างคือ 1. พยายามเขียนออเดอร์ให้จ่ายเงินสดให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ 2. การจ่ายค่า Commissions เขา 2 อาทิตย์หลังจากที่ผมส่งของไปให้ลูกค้าตามที่ตกลงกันไว้ก่อนนั้น ผมขอจ่าย 50% ก่อน อีกสองอาทิตย์ค่อยจ่ายที่เหลือให้+กับ 50% ของค่าคอมงวดใหม่ให้และจะตั้งบัญชีจ่ายไว้อย่างนั้น นายโจก็ตกลง
จะไม่ให้ตกลงได้ยังไงนายโจนี่ไม่ได้โง่นะเขาดีดลูกคิดรางแก้วไว้แล้วว่าเขาจะได้เงินจากผมเท่าไหร่ ยิ่งเขามาบอกตอนผมเกริ่น(ตามแผน)ว่าคิดยังไงกับ "ชุดแม้ว" นี้ เขาก็ตอบตรงกับที่ผมต้องการและเขาก็มองเห็นรายได้ที่จะตามมาจึงตอบตกลง มันก็เหมือนกับเจ๊ที่ตัดผ้าให้ผมนั่นแหละ โอกาสอย่างนี้หาไม่ได้ง่ายๆเขาจึงตอบตกลงกับเงื่อนไขที่ผมเสนอ คือถ้าไม่ช่วยกันก็ปิดโอกาสให้ตัวเอง ผมก็เปิดอกคุยแล้วเมื่อตกลงกันได้อย่างนี้งานมันก็ดำเนินต่อไปได้ ผมเองเสียอีกจะหนักกว่าเพื่อนที่จะต้องหมุนเงินไม่ให้ชะงักได้ จะไปกู้ยืมที่ไหนก็ไม่ได้ ต้องจัดการเท่าที่มีให้รัดกุม
เมื่อคุยกับนายโจเสร็จแล้วผมก็ร่าง Agreement (สัญญา) สำหรับนายจ้างและลูกจ้างกับนายโจเป็นลายลักษณ์อักษรไว้เลยว่าจะต้องทำยังไงกันบ้างพูดง่ายๆก็คือระเบียบนั่นแหละ การจ้างเซลส์แบบนี้ถือว่าเป็นการจ้างอิสระเราจะไม่มีการหักภาษีเขาแต่เราต้องแจ้งให้สรรพากรว่าเราได้จ่ายค่า Commissions ให้เขาไปเท่าไหร่เมื่อถึงสิ้นปี นายโจก็จะต้องไปแจ้งกับ Internal Revenue Service (IRS) ว่าเขามีรายได้เท่าไหร่จะต้องเสียภาษีเท่าไหร่เอาเอง เมื่อทำสัญญาเสร็จผมก็พานายโจไปกินอาหารจีนเสร็จแล้วก็ไปส่งเขาที่สนามบินเพื่อบินกลับบ้านที่ Dallas
เป็นเดือนผ่านไปก็ได้ของ Lot แรก 2,000 ตัวมา ผมก็รีบจัดการส่งให้ลูกค้าทันที อ้อลืมบอกไปว่าพอผมกลับมาจากเมืองไทยผมก็คิดว่าต้องหาคนมาทำงานด้วยเพราะมันเริ่มยุ่งแล้วผมทำทุกอย่างไหวแต่มันไม่ทัน...55555 คุยกับหลานแม่เด็กความจริงเป็นลูกพี่ลูกน้องมากกว่าเขาว่าเขาสนใจอยากจะทำงานด้วยแต่จะขอกลับไปเคลียร์อะไรที่แคลิฟอร์เนียก่อนแล้วจะกลับมาแม่เด็กและผมก็ตกลงโดยเราจะให้เขาพักที่บ้านกินอยู่กับเราเสร็จจะจ่ายให้เขาอาทิตย์ละ 200 เหรียญซึ่งก็ถือเป็นรายได้ปกติสำหรับ Receptionist ในช่วงนั้นแถมยังไม่ต้องเสียค่าที่อยู่ที่กินอีก เมื่อมีคนช่วย งานผมก็เบาลงไม่ต้องมานั่งคอยรับโทรศัพท์หรือพิมพ์งานพิมพ์อะไรต่างๆอีกต่อไป
ผมได้สั่งให้เจ๊ที่เมืองไทยทำชุดส่งมาให้ผม 2,000 ตัวทุกๆสองอาทิตย์โดยจะสั่งผ่านทางพ่อให้พ่อเป็นคนจัดการให้ ผมจะต้องไม่ต้องไปเมืองไทยบ่อยๆ ไปแต่ละทีค่าใช้จ่ายเยอะมาก งานเข้ารูปเข้ารอยแล้วก็ไม่จำเป็นต้องไปอีก
ช่วงนี้ถึงไม่มีตลาดแต่ก็มีออเดอร์เข้ามาแทบทุกวัน นายโจนี่เก่งถึงเขาไม่เดินสาย On the road ไปหาลูกค้าตามเมืองเล็กเมืองน้อยต่างๆเหมือนเซลแมนส์คนอื่นๆเขาก็โทรไปหาลูกค้าที่เคยมาซื้อของที่โชว์รูมของเขา แนะนำว่าเขามี Hot Item คือ "ชุดแม้ว" ลูกค้าจะต้องขายได้ดีมีกำไรแน่นอนลูกค้าก็เชื่อเขาสั่ง 6 ตัวหรือ 12 ตัวไปลองดูก่อนบ้าง มีอยู่ร้านหนึ่งที่ San Antonio Texas ซื้อไปเมื่อครั้งแรกเลย 24 ตัวถึงตอนนี้สั่งไป ร้อยกว่าตัวแล้ว
เมืองซานอันโตนีโอเป็นเมืองท่องเที่ยวอยู่ใกล้ชายแดนเม็กสิโก ชุดแม้วนี่เหมาะสำหรับตลาดที่นั่นเลย ผมมีเกือบ 20 ร้านที่สั่งไปขายในเมืองนี้และก็มี Repeat Order มาให้เรื่อยๆ ต่อมาเมืองนี้ก็เป็นเมืองสำหรับเดินสายของผมเลยคือออกจาก Houston ไป San Antonio ประมาณ 200 ไมล์แล้วก็ต่อไปยังเมือง Corpus Christi เมืองชายทะเลห่างออกไปอีก ประมาณ 90 ไมล์แล้วก็กลับ Houston อีกประมาณ 150 ไมล์ คือเดินทางเป็นรูปสามเหลี่ยมเลย
ไปแต่ละทีจะใช้เวลา 3-4 วันแล้วแต่ว่าจะเจอลูกค้าที่มีอยู่ทั้งหมดหรือไม่ ลูกค้าพวกนี้ไม่ต้องมีนัดละครับเพราะจะรู้จักกันแล้วเดินเข้าออกร้านเขาได้ทุกเวลา ไปแวะหาจะซื้อไม่ซื้อไม่เป็นไร เมือง San Antonio นี่มีเสน่ห์ตรงที่มี River Walk นี่แหละคือมีแม่น้ำไม่ใหญ่เท่าไหร่นักผ่านกลางเมือง ทั้งสองฝั่งจะมีร้านรวงนานาชนิดบริการนักท่องเที่ยว ตอนเย็นๆไปเดินเล่นแถวนี้ก็มีความสุขดียิ่งถ้าได้เดินเกี่ยวก้อยกับคนรู้ใจแล้วก็เหมือนกับได้ขึ้นสวรรค์ปานนั้น ที่เมืองนี้ผมก็มีแควนๆหลายคนอยู่นะ ไปทีไรงานเสร็จก็นัดกินข้าวกันแล้วก็ให้เขามานอนเป็นเพื่อนที่โรงแรมเพราะผมเป็นคนกลัวผีไม่กล้านอนคนเดียว
แล้วก็ที่เมือง Corpus Christi ผมก็ไปมีตำนานรักกับสาวไทยคนหนึ่งเป็นเจ้าของร้านอาหารไทย เป็นคนมีนามสกุลดังในเมืองไทยหากบอกทุกคนต้องรู้จัก เธอเป็นคนสวยมาก ฟันขาวเป็นเงางามเหมือนไข่มุก เคยมีแฟนเป็นถึงผู้พันทหารเรือแต่ทีหลังเลิกกันมีลูกสาวหนึ่งคนตอนนั้นลูกคงอายุ 11-12 ขวบนี่แหละเป็นลูกครึ่งหน้าตาสวยเหมือนแม่เลย
ที่ไปรู้จักกันได้เพราะครั้งหนึ่งเมื่อไปที่นั่นผมก็ไปนอนที่โรงแรม วันนั้นนึกอยากกินอาหารไทยก็เลยเปิดสมุดโทรศัพท์ดูว่าจะมีร้านอาหารไทยไหมและก็มีจึงโทรไปถาม Direction แล้วผมก็ไป ก็ไม่ได้กินอะไรมากครับไม่รู้จะกินอะไรก็สั่งแค่ก๋วยเตี๋ยวราดหน้ามากิน เจ้าของร้านรู้ว่าเป็นคนไทยก็มานั่งคุยด้วย พอดีไปก็ดึกแระงานไม่ยุ่งก็เลยมานั่งคุยได้ และแล้วเราก็ถามไถ่ถึงความเป็นมากันตามธรรมเนียมคุยกันสนุกก็เลยเหมือนกับว่ารู้จักกันมานาน เธอบอกว่าทีหลังมาก็ไม่ต้องไปพักที่โรงแรมหรอก ไปพักที่บ้านเธอก็ได้เธออยู่กับลูกสองคนเองผมก็ตอบตกลงแล้วก็กลับโรงแรมรุ่งขึ้นอีกวันหลังจากธุระผมเสร็จแล้วก็ไปที่ร้านอาหารเธออีกครั้งเพื่อบอกลา
ตั้งแต่นั้นมาผมไปที่เมือง Corpus Christi เมื่อไหร่ผมก็ไปพักที่บ้านของเธอบางทีนัดเจอกันที่ San Antonio นอนที่นั่นคืนหนึ่งรุ่งอีกวันถึงไป Corpus Christi อ้อเมืองนี้จะมีกุ้งสดๆที่เขาไปจับมาจากทะเลมาขึ้นที่ท่ามาขายตัวใหญ่ๆราคาถูกกว่าในตลาดมาก ผมจะซื้อที 10 ปอนค์ 20 ปอนด์เอาไปเก็บแช่แข็งไว้กินที่บ้าน
โปรดติดตามตอนต่อไปที่นี่... เข้า ตลาดครั้งที่ 3 Holiday’s Market ที่ Dallas และก็เปิดตัวที่ California Mart......
Columbus ,Ohio ,U.S.A.
ตอนที่ 14...เข้า ตลาดครั้งที่ 3 Holiday’s Market ที่ Dallas และก็เปิดตัวที่ California Mart......
เอาชุดแม้วเข้าไปขายที่ตลาดแล้ว 2 ครั้งได้ผลดีเกินคาด ช่วง Holiday’s Market ที่ Dallasซึ่งจะเป็นครั้งที่สามที่จะออกโชว์จะเป็นประมาณเดือนสิงหาคมผมก็เตรียมตัวที่จะไปอีก ความจริงไม่ต้องไปก็ได้เพราะนายโจและภรรยาของเขาก็ขายให้ได้อยู่แล้วแต่ผมอยากไปรู้ไปเห็นไปเรียนรู้ประสบการณ์ในการขายถือโอกาสเรียนรู้โดยการไปดูโชว์รูมอื่นๆที่มีเป็นพันๆด้วย ไปดูตลาดเสื้อผ้าของเขา
อีกสองอาทิตย์จะถึง Market Week นายโจก็โทรมาหาผมบอกว่าเขาได้ส่งตัวอย่างไปให้เพื่อนของเขาเป็นเซลส์ขายเสื้อผ้าเหมือนกันที่ California Mart ในแอลเอ ชื่อนาย Don และเขาก็ตกลงที่จะขายให้ในโชว์รูมของเขาเพราะนายโจได้บอกเขาว่าขุดแม้วนี้ Hot อย่างไร นายโจบอกให้ผมโทรไปคุยกับนาย Don ซึ่งผมก็โทรไปนาย Don บอกว่า "I am very happy to represent your line. It’s very beautiful dress and I think I will do well for you" นาย Don บอกว่าเขาดีใจที่ได้ขายชุดแม้วให้ผมและเขาคิดว่ามันจะขายได้ดี ผมก็ตอบว่า "I am also happy to have you, Mr. Joe have talk a lot of good things about you and how great you are." หมายถึงว่าผมก็ดีใจเหมือนกันที่ได้เขามาร่วมงาน นายโจได้บอกถึงเรื่องดีๆของเขาให้ผมฟังและบอกว่าคุณเก่งมาก
ตกลงนาย Don จะเป็นเซลส์แมนคนที่สองที่จะมาขายชุดแม้วนี้ Territory (ขอบเขต) การขายของเขาจะมีรัฐ California, Seattle Washington และ Alaskaในรัฐเหล่านี้เราจะไปตั้งให้ใครขายซ้อนอีกไม่ได้
เขตครอบคลุมของนายโจก็คือ Texas, Louisiana, Arizona, Arkansas และ New Mexico
เมื่อผมตั้งให้นายโจเป็นผู้จัดการขายแล้วเราก็ตกลงกันว่าเขาจะเป็นคนตัดสินใจเลือกคนที่จะมาขายให้ตามรัฐหรือตลาดต่างๆแล้วกำหนดว่าใครจะขายในพื้นที่ไหน
มาถึงเรื่อง Commissions ที่จะต้องจ่ายให้เซลส์เหล่านี้เราก็ตกลงกันว่าผมจะจ่ายให้เซลส์แมนตัวละ 5 เหรียญและจ่ายให้นายโจ 2 เหรียญ รวมเป็น ตัวละ 7 เหรียญเท่าที่ผมจ่ายให้นายโจหากเขาขายเอง
ท่านผู้อ่านอาจจะคิดว่า ของขายในราคาตัวละ 30 เหรียญแล้วจ่าย Commission ตัวละ 7 เหรียญดูมันมากจัง เกือบ 25% มันมีเหตุผลอยู่คือ ผมเคยเสนอให้นายโจ ตัวละ 10 เหรียญอย่างที่บอกมาแล้ว เพื่อที่จะต้องการขายเอาเงินคืนจาก 500 ตัวครั้งแรกที่ติดมืออยู่ ต่อมาเหตุการณ์มันเปลี่ยนไป ผมก็บอกลดลงมาเหลือตัวละ 7 เหรียญเขาก็ยอมเพราะเขาเห็นทางที่จะได้ในวันข้างหน้าจากปริมาณการขาย ผมเองคิดสาระตะแล้วก็จะมีกำไร Net ตัวละประมาณ 10 เหรียญซึ่งผมก็พอใจ การค้าถ้ากลัวเขาได้มากกว่าเราอิจฉาเขาธุรกิจมันก็เดินไม่ได้ "อดทั้งสองฝ่าย"
ผมมารู้ทีหลังว่าในวงการนี้เขาจ่าย Com กันอยู่ในระดับ 3-10% ทั้งนี้ทั้งนั้นมันขึ้นอยู่กับ "Brand name" ที่เป็นที่ต้องการของตลาด ยี่ห้อดังๆที่มันขายได้อยู่แล้วเขาก็จ่าย Com น้อย เซลส์แมนก็อยากขายให้เพราะมัน Easy to sale ขายได้อยู่แล้วไม่ต้องออกแรงดัน (Push)
ที่นี้อย่าง Meo Fashions ของผมนี่คือมัน No Name ไม่มีใครรู้จักต้อง Push หรือเชียร์ ดังนั้นเมื่อเราจะเอาของใหม่ๆเข้าตลาดจะให้เซลส์แมนมาขายของให้เราก็ต้องล่อด้วย com สูงๆ และเซลส์แมนพวกนี้ถ้า 2 Season Market ผ่านไปหากเขาขายไม่ได้เขาก็ "บอกลา" เราเหมือนกัน เช่นกันเราก็จะคิดว่าไอ้นี่มันไม่มีความสามารถขายหรือไม่ก็ของๆเราไม่เป็นที่นิยม หากผ่านไป 3-5 Season แล้วขายได้น้อยคุณก็ต้องพับตัวเองไปโดยอัตโนมัติหรือไม่ก็ออกแบบหาอะไรใหม่ๆไปขาย
และแล้ววัน Market Week ก็มาถึง ที่ Dallas Apparel’s Market นี่หากเขามีงานโชว์ 7 วันเขาจะเริ่มเอาวันพุธแล้วไปสิ้นสุดเอาวันอังคาร ผมกะว่าจะไปสัก 3 วันคือ ศุกร์ เสาร์ อาทิตย์ เพราะมันเป็น Weekend คนเยอะ ตอนเช้ามืดของวันศุกร์ประมาณ ตี 4 ผมก็ขับรถออกจาก Houston ไป Dallas ใช้เวลาประมาณ 4 ชั่วโมงก็ถึง ผมชอบขับรถในตอนเช้าๆหรือไม่ก็ตอนพลบค่ำเพราะอากาศมันดี วิวก็จะสวยด้วย เมื่อไปถึงผมก็เช็คอินเข้าที่โรงแรมที่จองไว้ จัดการล้างหน้าล้างตาอาบน้ำแต่งตัวเสร็จ กินกาแฟที่เขามีให้ในห้องแล้วลงมาที่ Lobby ตั้งใจว่าจะจอดรถไว้ที่โรงแรมแล้วเรียกแท็กซี่ไปเพราะขี้เกียจไปขับรถวนหาที่จอด
เดินหิ้วกระเป๋าเจมส์บอนส์ผูกไทด์ใส่สูทออกมาข้างหน้าโรงแรมเพื่อจะขึ้นที่จอดรอคิวรับส่งผู้โดยสารอยู่ก็ไปเจอคนรู้จักกันที่เคยอยู่ Houston มาก่อนเขาเป็นเจ้าของร้านขายอาหาร ร้านขายของชำ ทั้งมันเมียเขาแต่ก่อนเคยซูฮกผม ไปอุดหนุนซื้อของร้านมันแบบไม่เคยตระหนี่ถี่เหนียวซื้อทีก็เยอะด้วย พอผม Down จากการพนันเขาก็เปลี่ยนไปจากหน้ามือเป็นหลังมือเลย แต่ผมก็ไม่แคร์ เอาตัวออกห่างสังคมไทยแล้วก็เริ่มทำมาอย่างที่เล่าให้ฟังนั่นแหละ
กลายเป็นว่าคนที่ผมกล่าวถึงผมขอเรียกว่า "ไอ้แป๊ก" มันย้ายมาจาก Houston มาอยู่ที่ Dallas มารับจ้างขับแท็กซี่และเป็นคิวของมันพอดีที่จะรับผมไปส่ง ผมว่านะ...ถ้ามันเห็นผมก่อนมันคงจะหลบผมแน่ๆ...55555 แต่มันหลบไม่ได้ แล้วการถามไถ่ก็เกิดขึ้นว่าเป็นยังไงมายังไง มันถามผมว่าผมมาทำอะไรที่ Dallas ผมก็บอกว่ามาทำธุรกิจ มันคงจะแปลกใจมากว่าผมถีบตัวขึ้นมาอย่างนั้นได้ยังไง...ผมเองก็สะใจนิดๆที่มันเห็นผมในสถานะอย่างนี้ ที่คิดเพราะมันเคยดูถูกผมทั้งๆที่เคยคบหาเป็นเพื่อนกันมาก่อน ในที่สุดมันกลายมาเป็นคนขับรถแท็กซี่ แต่ผมก็ไม่ได้คิดดูถูกมันหรอก...เพียงแต่คิดถึงคำว่า "ไม้ล้ม...อย่าข้าม"
อ้อ..ผมเคยเจอทักษิณที่ร้าน "ไอ้แป้ก" ครั้งหนึ่ง เจอกันก็ยังจำกันได้ทักทายกันอยู่ เพราะเคยเรียนที่มงฟอร์ตเชียงใหม่รุ่นเดียวกันแต่คนละห้อง ตอนนั้นทักษิณเขามาเรียนแต่อยู่อีกเมืองหนึ่งห่างออกไป เมืองอะไรจำไม่ได้ ถ้ารู้ว่าเขาจะได้เป็นนายกฯ มีเงินเป็นหมื่นเป็นแสนล้านผมจะชวนเขาไปที่บ้านไปเลี้ยงเขาสักมื้อ......55555
เมื่อถึงที่หมายผมเห็นมิเตอร์ค่าโดยสาร 7 เหรียญกว่าๆผมก็เอาแบ็งค์ 20 ให้แล้วบอกว่า "ไม่ต้องทอน" คือให้ทิปมันด้วย...อ้อ..นั่งแท็กซี่เมืองนอกนี่เขาก็ให้ทิปกันนะ
แล้วผมก็บอกลา "ไอ้แป๊ก" เดินหิ้วกระเป๋าเข้าไปในตึกอย่างสุขใจ
@ ตอนที่ 15... สนุกสุดเหวี่ยงกับการขายและข่าวดีจาก California @ เชิญอ่านได้ที่นี่ครับ
Honolulu ,Hawaii ,U.S.A.
จากไอ้หนุ่มซินตึ้ง......กลายมาเป็นอาจารย์.......
โพสต์เมื่อ: วันจันทร์ที่ 1 เมษายน 2556
ภาพที่เห็นเป็นภาพถ่ายของผมที่ถ่ายไว้ตั้งแต่ปี 1974 ขณะนั้นอยู่ที่เมือง Houston รัฐ Texas USA
แม่เด็กมาเมืองไทยคราวนี้เอามาให้ผมดู.....มีอยู่ภาพเดียวนี่แหละที่เขาเก็บไว้....ถ้าจะชอบ...แหะๆ
ผ่านไปแล้ว 39 ปีผมก็ยังดูเหมือนเดิม....55555.....วันนี้มีคนบอกว่าผมน่าจะอายุ 50ต้นๆ..
คนที่บอกคือนักเรียน กศน.ที่ผมกำลังไปสอนการพูดการฟังภาษาอังกฤษให้เขาเพื่อเตรียมตัวเข้าสู่ AEC
คนที่มาเรียนเป็นระดับกำนัน ผู้ใหญ่บ้าน ผู้ช่วยและผู้นำในชุมชน มีผู้หญิงเป็น "แม่หลวง" ด้วย
เป็นรุ่นแรกของเทศบาลตำบลที่ผมไปสอน มีทั้งหมด 25 คน หลักสูตร 60 ชั่วโมง ทฤษฎี 30-ปฏิบัตินอกสถานที่ 30 ชั่วโมง
ผมไปสอนมาได้ 1 อาทิตย์แล้วตั้งแต่เวลา 19.00 น.-22.00 น. วันละสามชั่วโมง จันทร์-ศุกร์(ถึงไม่ค่อยมีเวลามาโพสต์อะไร)
ก็สนุกดีนะโดยเฉพาะอย่างยิ่งเจอนักเรียนที่กระตือรือร้นสนใจที่อยากจะเรียน...ที่ว่าจะยาก..มันก็ดูง่ายขึ้น
ผมรู้สึกเหนียมเอามากๆที่พวกเขามาเรียกผมว่า "อาจารย์" เพราะผมไม่ได้เป็นอาจารย์ผมบอกเขาให้เรียกผม "อาข่า" เฉยๆ...จะเติมคำว่า...พี่..ลุง..ป้า...น้า..ก็ได้....แต่เขาก็ยังเรียกผมว่า "อาจารย์" อยู่นั่นแหละ
มีนักเรียนอยู่คนหนึ่ง...พูดภาษาอังกฤษได้จ้อๆ......แต่อ่านไม่ออกเขียนไม่ได้....หลังจากผ่านไป 1 อาทิตย์เธออ่านบทสนทนาที่ผมเตรียมไปสอนได้และก็เข้าใจในความหมาย
ผมดีใจที่พวกเขา Improve ขึ้นไม่เหมือนกับวันแรกที่ไปสอนเพราะดูพวกเขามืดตื้อมาก
ตอนนี้รู้จักทักทายและล่ำลากันเป็นภาษาอังกฤษแล้ว.....ออกภาคสนามเมื่อไหร่ก็จะรู้ว่าการเรียนมีผลสำเร็จแค่ไหน
จากรุ่นนี้ 25 คนต่อไปเขาก็จะไปเป็นพี่เลี้ยงให้คนในชุมชนของเขาที่สนใจเรียนภาษาอังกฤษรุ่นต่อๆไป
งานนี้ผมไม่ได้อาสาสมัครไปนะแต่คนริเริ่มโครงการเขามาขอผมไปช่วย นัยว่าจะมีค่าน้ำมันรถให้บ้าง
ผมก็ดีใจที่ได้มีโอกาสช่วยเหลือสังคม เขาไม่ให้ก็ไม่เป็นไร...แต่ถ้าให้ก็เอา.....55555
วันหลังจะมาสาธยายต่อถึงความเป็นมาและจุดมุ่งหมายของโครงการนี้นะครับ
ตบท้ายด้วยรูปผมอีกรูปที่ถ่ายไว้เมื่อปี 1983 เป็นวันครบรอบอายุ 1 ปีของลูกชายคนที่สอง
ผู้หญิงคนที่เห็นเป็นคนเลี้ยงเขาตั้งแต่เกิดเลยครับเราเรียกเขาว่า "นาน่า" เป็นคนฟิลิปปินส์ มากินอยู่เลี้ยงดูแลลูกผมคนนี้ครับ
สมัยนั้นผมจ่ายแม่บ้านเดือนละ 400 เหรียญกินอยู่เสร็จ ผมนับถือเขาเหมือนแม่...
Comment...
อันตราย!!! คุณ"อ่านข้อความยาวๆ"ได้หรือไม่????? คุณพิสูจน์ได้...
การที่เรียกว่า"สมาธิสั้น"นั้นเป็นการเรียกที่ไม่ค่อยถูกต้องนัก จริงๆแล้วต้องเรียกว่า"สมาธิบกพร่อง" ทั้งนี้เพราะบางคนที่เป็น ไม่ได้มีปัญหาตรงที่มีสมาธิในช่วงสั้นๆ แต่มีปัญหาในเรื่องของ การควบคุมสมาธิและการปรับเปลี่ยนสมาธิ (Selective Attention) มากกว่า
By Thanawut: ชีวิตหมอที่ไม่ได้ไปอเมริกา By: kimeng suk คลิกที่นี่...
By Thanawut: แนะนำคุณพ่อคุณแม่มือใหม่... ศาสตร์เลี้ยงลูกให้ได้อย่างใจ... คลิกที่นี่...
By Thanawut: For...Friends&Friends
E-Bookโหลดทั้ง2part แตกไฟล์คลิกขวาpart1 คลิกซ้ายExtract Here Part1 & Part2
By Thanawut: เป็นพ่อเป็นแม่คน...เรื่องนี้ให้เก็บเอาไปคิดเป็นการบ้าน... คลิกที่นี่...
By Thanawut: ชีวิตต้องสู้...Jimbo นักธุรกิจใหญ่ที่ชะตาผกผัน...มาเป็นคนขายปลาทู...สู่คนขับแท็กซี่...ลีมูซีน และอีกหลายๆๆ... คลิกที่นี่...
By Thanawut: ลองอ่านๆดู ผมว่ามันฮามาก... ชีวิตท.ทหารเกณฑ์...รันทดยิ่งกว่านวนิยายน้ำเน่าอีกว่ะ!... คลิกที่นี่...
By Thanawut: โฉมฉาย อรุณฉาน...สาวสวยร้องเพลงไพเราะที่ผมขอเขียนถึงสักครั้ง คลิกที่นี่...
By Thanawut: การเมืองเร่อะ...อย่า"อิน"ให้มากนัก เพลาๆกันไว้มั่ง คลิกที่นี่...
By Thanawut: ห้องนอนใครเหม็นอับมาทางนี้... คลิกที่นี่...