จะรีบไปไหน...จะรีบไปไหน...รอโหลดซักกะเดี๋ยวนะตะเอง...


PlayListนี้ เริ่มต้นด้วย "เล่าเรื่อง ตาดูดาวเท้าติดดิน" เรียงลำดับตั้งแต่ ตอนแรก ถึง ตอนปัจจุบัน ..ท้ายเพลย์ลิสท์เป็นคลิป "เมื่อศาลรัฐธรรมนูญกระทำขัดรัฐธรรมนูญ : จะทำอย่างไร?" วันพุธที่ 1 พฤษภาคม 2556 เวลา 13.00 - 16.00 น. ห้องกมลทิพย์ ชั้น 2 โรงแรมสุโกศล (สยามซิตี้เดิม) คลิปนี้..วิทยากร รศ.ดร.วรเจตน์ ภาคีรัตน์ คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ แสดงความคิดเห็นเริ่มนาที 0:14:24
คลิกที่นี่ ดูบนyoutube...
หรือคลิกที่นี่.. @ AsiaUpdate "เล่าเรื่อง ตาดูดาวเท้าติดดิน"

คลิกที่นี่ ดูบนyoutube...

คลิกที่นี่ ดูบนyoutube...

คลิกที่นี่ ดูบนyoutube...

วันอาทิตย์ที่ 25 กันยายน พ.ศ. 2559

เมื่อผมต้องผันตัวเองไปประกอบอาชีพเป็น เซลส์แมน...ในแดนมะกัน...


เมื่อผมต้องผันตัวเองไปประกอบอาชีพเป็น เซลส์แมน...ในแดนมะกัน...
By: By: akausa เว็บNanaSara.org

ท่านผู้อ่านคงจะจำได้เมื่อครั้งที่ผมเขียนเรื่อง "เมื่อผมไปอเมริกาครั้งแรกเมื่อเดือน มกราคมปี 1972.....ผมมีเงินติดตัวไป $80.00" .. คลิกไปอ่านที่นี่..

เขียนได้ 18 ตอนก็ไม่ได้เขียนต่อ(จะจบต้องประมาณ 40 ตอน) คือมัวไปสนใจกับการเมืองมากไปหน่อยจนไม่มีสมาธิที่จะเขียน แต่คิดว่ายังไงๆจะเขียนให้จบให้ลูกหลานเอาไว้พิมพ์แจกตอนผมตาย...55555...

ที่นึกจะเขียนเรื่องการที่ผมไปประกอบอาชีพเป็น Salesman คืออยากจะเล่าช่วงนี้จริงๆคนอ่านจะได้ความรู้และประโยชน์มั่ง...

มาเริ่มกันตอนที่ผมเจ๊งจากธุรกิจการทำเสื้อผ้าขายส่งเมื่อตอนอยู่ที่ Houston Texas ซึ่งทำมาแล้ว 8 ปีมี Established Accounts ทั่วสหรัฐกว่า 3,000 accounts นึกแล้วก็เสียดายไม่หาย...

หลังจากเจ๊งจากการทำธุรกิจเสื้อผ้า ผมก็ไม่รู้จะทำอะไร ไม่รู้จะย้ายไปอยู่ที่ไหน แต่ช่วงนั้น(ปี 1989)เศรษฐกิจในสหรัฐย่ำแย่มากโดยเฉพาะส่วนที่เขาเรียก Central USA ก็คือแถวรัฐกลางๆของประเทศสหรัฐนั่นแหละ ตอนนั้นมีคนบอกว่าถ้าจะไปขุดทองใหม่ก็ต้องไปทางฝั่ง California หรือไม่ก็ทาง New York เพราะเศรษฐกิจยังดีอยู่...ผมไม่ชอบ East Coast เพราะไม่ชอบอากาศหนาวก็เลยเลือกไป West Coast ทาง California...

อีกอย่างหนึ่งที่เลือกไปแคลิฟอร์เนียก็คือมีแฟนเก่าอยู่ที่นั่น...ก็คือคนที่เป็นลูกพี่ลูกน้องกับแม่เด็กที่เคยเล่าให้ฟังนั่นแหละ พอผมเลิกทำธุรกิจเสื้อผ้าเธอก็ย้ายไปอยู่แคลิฟอร์เนียที่เมือง Anaheim ซึ่งตอนหลังผมก็ย้ายไปอยู่ที่นั่นเป็นการถาวรจนกระทั่งทุกวันนี้...

ทีแรกผมก็กะว่าจะไปเที่ยวดูลาดเลาก่อนพอดีเด็กปิดเทอมก็เลยถือโอกาสไปเที่ยว ตอนนั้นลูกๆผมอายุได้ 4-6 และ 8 ขวบตามลำดับ ก็พากันไปเที่ยว ตอนนั้นนอกจากรถเก๋ง Ford ที่ผมใช้ส่วนตัวแล้วผมยังมีรถ Custom Van ที่เอาไว้ใช้เดินทางเวลาไปเยี่ยมลูกค้าตามเมืองต่างๆใน Texas และก็สำหรับพาครอบครัวเที่ยวด้วย...

(รถจะเป็นแบบในภาพนั่นแหละครับ ไม่ใช่คันที่ใช้จริง...ตอนนี้คงเป็นเศษเหล็กไปแระ..)

เมื่อเตรียมทุกอย่างเรียบร้อยถึงเวลาเดินทางผมก็ขับรถจาก Houston ตามทาง Interstate 10 มุ่งสู่ California ก็ผ่านหลายรัฐ(ดูแผนที่ประกอบ) ระยะทางทั้งหมดประมาณ 1,760 ไมล์ ถ้าขับโดยเฉลี่ย 70 ไมล์/ชั่วโมง ก็จะใช้เวลาทั้งหมด 25 ชั่วโมง แต่ผมขับไปแบบสบายๆเพราะไม้รีบร้อนอะไร จอดนอนงีบระหว่างทางก็หลายแห่ง Rest area ระหว่างทางมีมากมายแถมยังสะดวก สบายห้องน้ำสะอาดด้วย...

ผมใช้เวลา 2 วันก็ขับถึงเมือง Anaheim ตรงไปบ้านที่แควนผมพักเลย...55555...เป็น Apartment 2 ห้องนอน ไม่หรูหราแต่ก็พออยู่ได้...คือตอนนั้นผมก็แค่ขับรถไปเที่ยวเฉยๆ...


ผมอยากจะข้ามไปถึงเรื่องที่ผมไปใช้ชีวิตเป็น Salesman ได้อย่างไรเลยดีกว่า แต่จะข้ามไปหมดเลยก็ไม่ได้ เอาแบบเท้าความนิดๆก็แล้วกัน...

คือหลังจากที่ผมตัดสินใจย้ายไปอยู่แคลิฟอร์เนียแล้วหาที่อยู่และโรงเรียนให้ลูกๆได้แล้วผมก็กลับ Houston ไปขนย้ายของมาแคลิฟอร์เนีย ขายรถ Ford ไปคงเหลือแต่รถ Van เอาไว้ใช้ เมื่อ Settle แล้วก็ต้องคิดหางานทำเพราะต้องมีค่าใช้จ่าย เงินที่มีพอเหลือจากการค้าขายก็ต้องมีไว้ยามฉุกเฉิน

• การแบ่งเขต Time Zone ของอเมริกา เวลาแตกต่างกันตามสีภาพ พื้นที่สีเขียวเวลาจะตรงกันเป๊ะกับเวลาในเมืองไทย ต่างกันก็คือมันเป็นกลางวันกับกลางคืน

• การแบ่งภาคต่างๆของอเมริกา

มีอยู่วันหนึ่งนั่งอ่านหนังสือพิมพ์ ใน Section เกี่ยวกับการหางาน รับสมัครคนงาน ก็ไปเห็น Ad อันหนึ่งที่บอกว่า Sales Representative wanted. แล้วเนื้อหาในนั้นบอกว่า ต้องการรับสมัครพนักงานเซลส์หลายตำแหน่ง Unlimited Opportunity, Free Training with pay, Draw Against Commissions ก็หมายถึงมีโอกาสก้าวหน้า เบิกเงินที่ได้จากค่าคอมมิสชั่นล่วงหน้าได้ เรียนรู้ฟรีมีเบี้ยเลี้ยงจ่ายระหว่างเรียน...

ถึงตรงนี้อยากจะอธิบายไว้หน่อยว่า งานตำแหน่งเซลส์นั้นมันเป็นงานไต่เต้า...คือคุณไปสมัครเป็นพนักขาย ถ้าคุณขายได้คุณก็จะได้ค่าคอมมิสชั่นตามอัตราที่ตกลงกัน เขาจะจ่ายคุณแบบไหนเวลาไหนนั้นก็ต้องตามกฎระเบียบที่เขามีไว้

อย่างคำว่า Draw Against Commissions นี่หมายถึงคุณทำงานไปได้สักระยะหนึ่งพอมีเงินสะสมที่เขายังไม่ได้จ่ายให้คุณเพราะยังไม่ถึงเวลาที่เขาตัดจ่าย แต่คุณก็ต้องอยู่ต้องกินต้องใช้เขาก็ยอมให้เบิกล่วงหน้าได้ประมาณ 50% จากที่คุณควรจะได้ตามที่คุณได้สะสมไว้

สมมุติว่า เขาจ่ายเงินให้คุณเดือนละ 2 ครั้ง คือจะจ่ายให้วันที่ 5 หรือวันที่ 20 ของทุกเดือน คุณต้องทำงานตั้งแต่วันที่ 1 ถึงวันที่ 15 เขาจะจ่ายให้คุณเต็มตามจำนวนที่คุณทำได้ วันที่ 20 งานทำวันที่ 16 –วันที่ 31 จะจ่ายให้ วันที่ 5 เป็นต้น...

ที่นี้เพราะคุณไม่มีเงินสำรองที่จะต้องใช้จ่าย เริ่มทำงานวันที่ 1 แล้วไปรอรับเอาวันที่ 20 สามอาทิตย์เต็มๆคุณจะเอาเงินที่ไหนใช้ เขาก็เลยให้คุณเบิกได้อันเป็นที่มาของ Draw Against Commissions พอจะเข้าใจนะครับ...

พอผมเห็นประกาศก็เลยโทรไปสมัคร รู้ว่าเป็นงานขายแต่ยังไม่รู้ว่าจะต้องขายอะไร ผมก็โทรไปตามเบอร์นั้นแล้วเขาก็นัดให้ไปหาเพื่อไปกรอกใบสมัครแล้วผมก็ไปตามนัด ไปถึงเขาก็มีเจ้าหน้าที่เอาใบสมัครมาให้กรอกแล้วนัดหมายให้ไปอีกครั้งหนึ่งเพราะจะมีการประชุมอบรมอธิบายถึงงานที่จะทำแล้วก็จะมีการถามว่าใครสนใจที่จะเรียนรู้ต่อ...ถ้าหากไม่แล้วก็ไม่ต้องเสียเวลาให้กลับไปเลย...

ถึงวันนัดหมายผมก็ไป...โหวันนี้คนเยอะแฮะ 30-40 คนได้มั้ง แล้วเขาก็ให้เราเข้าไปนั่งรวมกันในห้อง มี Projector ฉายให้เราดูด้วยว่างานจะเป็นอย่างไร

แล้วพิธีกรก็เริ่มแนะนำตัวว่าเขามาจากไหน ทำอะไรมาก่อน ทำไมถึงมาอยู่ตรงนี้ได้ แล้วก็ถามคนที่อยู่ในห้องว่า "ถ้าคุณทำงานได้ปีละเท่านี้ คุณจะพอใจไหม?" แล้วก็เขียนบนกระดานว่า "Would you be happy if you are making between $70,000-100,000 a year or more?

Wow...! มันเป็นตัวเลขที่น่าสนใจไม่น้อย...ช่วงนั้นน่ะหรือแรงงานขั้นต่ำอยู่ที่ 4 หรือ 5 เหรียญกว่าๆต่อชั่วโมงเอง ก่อนหน้านั้นผมทำงานได้ชั่วโมงละ $20.00(อาศัยความรู้และความชำนาญเก่า) อาทิตย์หนึ่งก็ $600.00 เดือนหนึ่งก็ $2,400.00 ปีหนึ่งก็ $28,880.00...รายได้ขนาดนี้ต้องชนชั้นกลางขึ้นไปถึงจะทำได้..แต่นี่ปีละ $70,000-100,000 มันกี่เท่า..? มันน่าสนใจไหม..?

จากคำถามที่พิธีกรได้ถามไป ทุกคนในห้องยกมือหมด แล้วพิธีกรก็กล่าวต่อว่ามันเป็นรายได้ที่งดงามและมันก็เป็นไปได้ แต่เขาคิดว่าหลังจากการอบรมวันนี้จะมีเหลือไม่ถึงครึ่ง แล้วเขาก็เล่าถึงนวัตกรรมใหม่ที่กำลังจะเกิดขึ้น แล้วเขาก็เล่าถึงว่าต่อไปการใช้เครดิตคาร์ด ไม่ว่าจะเป็น Visa หรือ Master card หรือ American Express หรือ Discover Card etc. นั้นจะเปลี่ยนไปจากการที่เคยใช้จากเดิมคือเอาบัตรเครดิตของลูกค้าไปวางบนแท่นรูดแล้วก็รูดกดทับบน Slip มันก็จะเห็นหมายเลขบัตร ชื่อ วันหมดอายุ ที่เป็น ตัวนูน เมื่อรูด Slip แล้วก็ให้ลูกค้าเซ็น แล้วก็ฉีกใบแรกให้ลูกค้าไป ใบต่อมาเจ้าของร้านเก็บไว้ ส่วนที่สามก็จะรวบรวมเข้าด้วยกันแล้วก็เอาไปฝากธนาคาร...

เมื่อจะเปลี่ยนมาใช้ระบบ Electronic Draft Capture คือจะมีเครื่องรูดคาร์ดที่มีแถบแม่เหล็กที่บันทึกข้อมูลของผู้ใช้บัตรเมื่อรูดเข้าเครื่องแล้วก็จะรู้ทันทีว่าบัตรที่ใช้เป็นของใคร มีเครดิต Limit เท่าไหร่ ลูกค้าใช้บัตรซื้อของเจ้าของร้านก็จะได้เงินไปเข้าธนาคารทันที(แล้วจะอธิบายทีหลัง) ก็ต้องให้ความรู้กับเจ้าของร้าน คนติดตั้ง คนที่จะไปติดต่อลูกค้าคือไปแนะนำให้ลูกค้าให้รู้จักใช้นั่นแหละและหน้าที่ผมก็จะอยู่ส่วนนี้...

(--มีต่อ--)