จะรีบไปไหน...จะรีบไปไหน...รอโหลดซักกะเดี๋ยวนะตะเอง...


PlayListนี้ เริ่มต้นด้วย "เล่าเรื่อง ตาดูดาวเท้าติดดิน" เรียงลำดับตั้งแต่ ตอนแรก ถึง ตอนปัจจุบัน ..ท้ายเพลย์ลิสท์เป็นคลิป "เมื่อศาลรัฐธรรมนูญกระทำขัดรัฐธรรมนูญ : จะทำอย่างไร?" วันพุธที่ 1 พฤษภาคม 2556 เวลา 13.00 - 16.00 น. ห้องกมลทิพย์ ชั้น 2 โรงแรมสุโกศล (สยามซิตี้เดิม) คลิปนี้..วิทยากร รศ.ดร.วรเจตน์ ภาคีรัตน์ คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ แสดงความคิดเห็นเริ่มนาที 0:14:24
คลิกที่นี่ ดูบนyoutube...
หรือคลิกที่นี่.. @ AsiaUpdate "เล่าเรื่อง ตาดูดาวเท้าติดดิน"

คลิกที่นี่ ดูบนyoutube...

คลิกที่นี่ ดูบนyoutube...

คลิกที่นี่ ดูบนyoutube...

วันจันทร์ที่ 16 กันยายน พ.ศ. 2556

35 คนแก่...(แดงชรา) ชอบเล่าเรื่องอดีต

@ สดุดี..นโยบายบัตรทองประกันสุขภาพ 30 บาทรักษาทุกโรค
@ ฮู้ยยยย...สติแตกกันไปหมดแย้วทั้งคนเล่นและกองเชียร์แนวร่วม
@ ความเป็นมาของ คดีสะเทือนโลก "ที่ดินรัชดา" ที่ทุกๆคนควรรู้!!!
@ พี่สาวผมเคยถามผมว่า ทำไมผมจึงฝักใฝ่อยู่กับคุณทักษิณ?????
@ เฮ้อ!! ณ นาทีนี้..บอกได้คำเดียว เสียดาย..เสียดายครับ...นโยบายดีๆที่คน กทม. ไม่เอ๊า..ไม่เอา...
@ ทำความเข้าใจก่อนวิจารณ์ "การลงทุน 2 ล้านล้าน" กับ รัฐมนตรีชัชชาติ สิทธิ์พันธุ์
@ เขียนให้อ่าน..จากใจ ดร.วีรพงษ์ รามางกูร
@ ทิ้งหนี้ไว้ให้ลูกหลาน โดย ดร.วีรพงษ์ รามางกูร
@ อะไรคือ มรดกอสูร!!! ใครคือ ทายาทอสูร!!! ดร.โกร่งมีคำตอบ
@ ผงซักฟอกยี่ห้อใหม่ตราตาชั่งเอียงสีฟ้า
@ เป็นเพราะว่าตุลาการศาลรัฐธรรมนูญเหล่านี้ไม่มีสำนึกในการรักษาความยุติธรรม..และยังทำลายความยุติธรรมด้วยมือของตนเองอีกด้วย...
@ คำแปล ปาฐกถาพิเศษ ปชต."นายกฯยิ่งลักษณ์"ที่มองโกเลีย
@ จดหมายเปิดผนึก.. ส.ส.และ ส.ว.312 คน คัดค้านและไม่ยอมรับการใช้อำนาจที่ขัดต่อรัฐธรรมนูญของศาลรัฐธรรมนูญ

คลิกที่ภาพ...เพื่อดูขนาดที่ใหญ่ขึ้น @ New!! แจกปฏิทินนายกฯปู พ.ศ.2556 คลิกที่นี่...

คลิกที่ภาพ...เพื่อดูขนาดที่ใหญ่ขึ้น


ระลึกถึงอดีต 40 กว่าปีที่แล้ว
By: แดงชรา เว็บprachatalk.com

@ ความเสียใจที่ไม่มีวันลืมของแดงชรา

15/09/2013 : นานๆ จะตั้งกระทู้สักที ไม่เหมือนก่อน

สงสัยยิ่งแก่ก็ยิ่งขี้เกียจเขียน...แต่ ชอบอ่านหนังสือ และอยู่หน้าคอมฯทุกวัน

ชีวิตคนแก่วัย 56 อย่างผมคงขาดหนังสือและคอมฯไม่ได้ ใครที่อายุไล่เลี่ยกับผมเป็นแบบนี้ไหมครับ?

คนแก่ชอบเล่าเรื่องอดีต อันนี้เรื่องจริง

เมื่อก่อนเป็นเด็กก็สงสัยว่าทำไมย่า ยาย แม่ ชอบเล่าเรื่องราวต่างๆตั้งแต่เรายังไม่เกิดให้ฟัง

ไอ้เราเป็นเด็ก ก็ชอบฟังนะสำหรับผมมันสนุกดี

พอตัวเองเริ่มแก่ลง นั่นไงเริ่มพูดเรื่องอดีตให้คนลูกๆฟัง

ตอนนี้อยู่กับลูกชายสองคน ก็มันนั่นแหละที่ผมมักเล่าอะไรให้ฟังบ่อยๆ

บางครั้งมีเคืองกันบ้าง เพราะมันชอบบอกว่า

"เรื่องนี้ซ้ำครับ ฟังมาสองสามรอบแล้ว"

นี่แค่เคืองมันนะ แต่ที่เริ่มเอะอะกันก็อีตรงมันพูดไปยิ้มขำผมไปนี่ซี...น่าตบกะโหลกมั้ย?


เอ้า.. มาเข้าประเด็นที่ผมจะแบ่งปันให้ เพื่อน สมช.ฟังกันสักที

เมื่อสมัยผมอายุได้สิบต้นๆ เวลาปิดเทอมใหญ่ จะต้องช่วยแม่ขายของครับ แม่ผมขายผ้าตัดเสื้อ โดยเอาผ้าพับเป็นชิ้นๆใส่ตะกร้า หิ้วสองมือขาย ผมก็หิ้วตะกร้าขายผ้าเหมือนแม่ ส่วนมากเราจะไปขายตาม ตจว. ไปทุกภาค เหนือ ใต้ ออก ตก ตะวันออก แดงชราเดินขายผ้ามาแล้ว

เรื่องราวต่างๆ ที่มีประสบการณ์มา จึงอยู่ในความทรงจำของผมมาจนถึงทุกวันนี้ เรื่องราวต่างๆ บางทีเป็นเรื่องราวที่จดจำเพราะ น่ากลัว ประทับใจ และ หลอนๆ ใครเชื่อบ้างว่าผมเคยเจอศพคนตายในโรงแรม

บรึ๊อ...

เอาเรื่องที่ผมกลัวที่สุดก่อน

ตอนนั้นอายุน่าจะประมาณ 12 ผมกับแม่ไปขายผ้าที่ อ.ชะอวด จังหวัดนครศรีธรรมราช จำได้ว่าพักอยู่ที่โรงแรมในตัวจังหวัด เช้ามืดวันรุ่งขึ้น ต้องนั่งรถไฟไปที่ชะอวด

พอถึงและลงจากรถไฟเสร็จ แม่กับผมก็เข้าไปกินอาหารเช้าที่ร้านข้าวแกงแถวๆสถานีรถไฟ

พอกินข้าวเช้าเสร็จแม่ผมก็จัดแจงวางแผนการตลาด

"ไอ้หนู แกไปเดินขายฝั่งนู้นนะ แม่จะขายฝั่งนี้ พอสามโมงเย็นกลับมาเจอกันที่สถานีรถไฟ เพราะรถไฟเที่ยวสุดท้ายจะออกตอนสี่โมงเย็น"

"จ้าแม่"

พอเราวางแผนการตลาดเสร็จ เราก็เริ่มปฏิบัติหน้าที่ ผมออกเดินไปตามอีกฟากถนน ใจก็ตุ๊มๆต่อมๆ

เพราะนี่เป็นการค้าขายครั้งแรกของผม ใจก็ท่องถึงหลักการขาย ตามที่แม่สอน

"ไอ้หนู แกเดินไปตามบ้านและคอยดูว่ามีผู้หญิงอยู่ไหม ถ้ามีแกก็เรียกเขาว่า พี่ ป้า น้า อา ตามอายุเค้า แล้วก็บอกเค้าว่า พี่..ครับ ผมมีผ้าตัวอย่างมาขายจาก กทม. สวยๆทั้งนั้นเลยครับ พี่สาวชมก่อนนะครับผมจะเอาออกมาให้ดู"

ผมเจอบ้านหลังแรกรู้สึกว่าจะเป็นเรือนไม้กระดาน ชั้นเดียวมีระเบียงหน้าบ้านกว้างขวาง ที่สำคัญเห็นผู้หญิงอายุประมาณสามสิบกว่านุ่งกระโจมอก ยืนอยู่ในบ้าน ผมก็เริ่มทำตามหลักการสอนของแม่

"น้าครับ ผมมีผ้าตัดเสื้อตัวอย่างมาขาย เอามาจาก กทม.ครับ สวยๆทั้งนั้นเลย น้ามาชมก่อนนะครับผมจะเอาออกมาให้ดู"

น้าคนนั้นแกมองหน้าผม ที่จริงมองทั้งตัว แต่แกยังไม่พูดอะไร ผมก็ตีเนียนเดินขึ้นไปนั่งป๋อบนระเบียงบ้านแก แล้วก็จัดแจงเอาผ้าที่ใส่ไว้ในตะกร้าออกมาคลี่วางคอยให้แกมาดู

ผมยิ้มแย้มให้แกตามหลักการตลาดที่แม่สอน แต่ผมว่าผมคงยิ้มแหยสิ้นดีในตอนนั้น ก็ผมเขิลนะ

น้าแกเดินมา แต่แกไม่มองผ้าที่ผมวางไว้เลยสักนิด แกได้แต่มองหน้าผมแล้วก็ถามผมว่า

"มาจากกรุงเทพรึ ตัวเท่านี้มาขายของแล้ว อายุเท่าไหร่ ไม่เรียนหนังสือหรือ" สำเนียงที่แกพูดก็เป็นสำเนียงใต้ แต่ผมพอฟังออก

"หนูปิดเทอมครับ เลยมาช่วยแม่ขายของ จะได้มีเงินจ่ายค่าเทอม" (นี่ๆหลักการขายที่คุณนายแม่ท่านสอนมา)

ได้ผล น้าแกเริ่มหันมามองผ้าที่ผมวางไว้ แล้วแกก็หยิบมาดู แกเลือกไว้สองสามผืน แล้วแกก็บอกผมว่า

"ผ้าสวยดี เดี๋ยวน้าไปเรียกเพื่อนบ้านมาดู เผื่อเขาชอบใจจะได้ช่วยซื้อ จะได้มีเงินไปจ่ายค่าเทอม"

ไม่นานหลังจากนั้นผมก็ถูกรุมล้อมด้วยพี่ ป้า น้า อา ซึ่งอยู่แถวๆนั้น ผมขายผ้าได้ดีมาก จนตะกร้าเบาไปเยอะ แล้วผมก็ออกเดินตะเวนขายบ้านหลังต่อๆไป

เดินไปพูดไป วางผ้า พับผ้า จัดผ้าใส่ตะกร้า คิดตังค์ ทอนตังค์ จนเที่ยงหิวแล้ว เลยแวะเข้าริมทางกินข้าวผัดกับน้ำแข็งเปล่าหนึ่งแก้ว เสร็จแล้วก็ ออกเดินต่อ

ทีนี้ไอ้ความเป็นเด็ก หนังท้องตึงหนังตาก็เริ่มหย่อน ง่วงนอนแต่ไม่รู้จะไปนอนที่ไหน มองไปมองมาเจอพุ่มไม้อยู่ข้างทาง เอาตะกร้าผ้าเสือกเข้าในพุ่มไม้ พร้อมทั้งเสือกตัวเข้าไปนอน หลับสนิทเลย

มาคิดดูอีกทีตอนนี้ ตอนนั้นโชคดีจัง งูเงี้ยวก็ไม่มี คนคิดไม่ดีก็ไม่มี ถ้าเป็นสมัยนี้ สงสัยทั้งกระเป๋าตังค์และตะกร้าผ้าผมคงหายเกลี้ยง

พอรู้สึกตัวตื่นก็ตอนบ่ายแก่ๆ ผมก็มุดออกมาจากพุ่มไม้นั้น เดินขายผ้าต่อ

บ้านสุดท้ายที่ผมเข้าไปขาย มีลูกค้ามาเยอะมา ขายดิบขายดี คนละสองสามชิ้น ผมมองนาฬิกาข้อมือ นี่มันใกล้จะบ่ายสามแล้ว แต่ลูกค้ายังเลือกผ้ากันอยู่ จะบอกเลิกขายก็เสียดายตังค์

คนนั้นเอาเท่านี้ คนนี้ต่อราคา คิดตังค์ทอนตังค์จนผมลืมเวลาไปเสีย มารู้สึกตัวอีกทีก็เห็นแม่เดินตามมาถึงบ้านที่ผมขายผ้าอยู่

"แม่คอยแกตั้งแต่บ่ายสาม นี่บ่ายสี่แล้วเห็นแกหายเงียบไปเลยออกมาตามดู รถไฟคงไปแล้ว คืนนี้กินข้าวลิงกันแหงไอ้หนู"

ตอนแรกนึกว่าจะโดนแม่ด่าหรือหยิก แต่แกยิ้มแล้วก็มารับช่วงขายผ้าต่อจากผม

ตอนเราเดินกลับสถานีรถไฟ ตะกร้าผมแทบว่างเปล่า ผมเอาเงินค่าขายผ้าที่ได้ในวันนั้น ทั้งหมดรู้สึกจะประมาณ 380 ยื่นให้แม่ด้วยความภาคภูมิใจที่สุด แม่รับเงินไปแล้วพูดกับผมยิ้มๆว่า

"อืม..แกเก่ง"

สิ่งที่ทำให้ผมรู้สึกกลัว จนจำมาถึงทุกวันนี้ก็คือตอนที่กลับไปสถานีรถไฟนี่แหละ เข้าประเด็นล่ะนะ

พอกลับมาถึงสถานีรถไฟก็ปรากฏว่ารถไฟเที่ยวสุดท้ายไปแล้วจริงๆ นายสถานีเขาบอกว่าจะมีอีกเที่ยวก็นู่น ตอนห้าทุ่ม

เราสองคนแม่ลูกรู้สึกหิว แม่ผมบอกกับผมว่า

"ไอ้หนู ไปซื้อโรตีมากินกันไป๊"

ผมก็เดินไปซื้อโรตีจากร้านหนึ่งที่อยู่ใกล้ๆสถานีรถไฟ ผมเห็นคนขายเป็นสองผัวเมีย และพวกแกคงเป็นมุสลิม แกยิ้มให้ผมทั้งสองคนเมื่อผมบอกว่าขอซื้อโรตีสองแผ่น

ระหว่างที่ผัวแกทำโรตี เมียแกก็ชวนผมคุย ว่าผมมาจากกรุงเทพฯหรือ อ้อ..ปิดเทอมเลยมาช่วยแม่ขายของ แล้วแกก็พูดกับผมว่า

"หนู มาอยู่กับป๊ะ และม๊ะมั้ย เราสองคนไม่มีลูก อยากได้หนูมาเป็นลูก นี่นะถ้ามาเป็นลูกป๊ะกับมะ จะไม่ให้หนูมาเดินขายของตากแดดร้อนๆเลย ป๊ะกับม๊ะจะเลี้ยงหนูอย่างดี"

ผมตกใจครับ ต้องเข้าใจว่าผมอายุแค่ 11-12

และที่ทำให้ผมตกใจยิ่งไปอีกก็ตอนที่ผมรับโรตีจากแก แล้วแกไม่เอาสตางค์ แกบอกให้ฟรี แล้วเดี๋ยวแกจะมาขอผมกับแม่

ผมรีบวิ่งไปหาแม่แล้วเล่าให้แม่ฟังว่าสองคนผัวเมียเขาพูดอะไรกับผม ผมคิดว่าแม่ต้องแสดงความรู้สึกโกรธ ที่ใครจะมาเอาลูกไป แต่แม่ผมกลับยิ้มแล้วย้อนถามผมว่า

"แกจะไปอยู่กับพวกเขามั้ยล่ะ ถ้าจะไปก็จะให้ไป"

ผมตอบแม่ว่า ไม่..ไม่ไป แต่แม่ก็ยังยิ้มอยู่ แล้วผมก็เห็นม๊ะเดินจากร้านโรตี ตรงมาที่แม่ ตอนนั้นผมใจหายว๊าบ เพราะรู้ว่าเขาคงมาขอผมจากแม่ แล้วแม่จะยกผมให้พวกเขา ผมต้องทำอะไรสักอย่าง

แล้วสิ่งที่ผมคิดว่าดีที่สุดที่จะทำได้คือหนีไปแอบ จะหนีไปแอบที่ไหนดีนะ ผมคิด แล้วผมก็มองไปที่ในสถานีรถไฟ ตอนนั้นประตูที่จะเข้าไปในสถานีเปิดอยู่ ผมรีบวิ่งเข้าไปในนั้น แล้วไปแอบใต้เคาน์เตอร์ที่ขายตั๋ว พยามอยู่นิ่งๆ และเงียบที่สุด

ผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมพนักงานขายตั๋วรถไฟแกไม่ไล่ผมออกมา ผมเห็นแกนั่งซดน้ำชายิ้มๆ แต่ไม่พูดอะไร

ผมไม่รู้หรอกว่าแม่ผมกับม๊ะเค้าคุยอะไรกัน แต่รู้สึกว่าเวลามันนานมาก แล้วลุงที่ขายตั๋วรถไฟก็เดินมาหาผมแล้วบอกผมว่า

"ไอ้หนูแม่เอ็งเดินหาเอ็งอยู่"

"แม่อยู่คนเดียวหรืออยู่กับม๊ะที่ขายโรตีครับลุง"

"แม่เอ็งอยู่คนเดียว"

ผมจึงค่อยๆโผล่หัวออกมาแอบมอง เห็นแม่เดินไปเดินมาแกคงกำลังหาผม แล้วแม่ก็อยู่คนเดียวจริงๆ ผมเลยเดินออกไปหา

"นึกว่าหายไปไหนที่แท้ไปอยู่ในสถานี ฉันหาแกจนทั่ว"

"แล้ว แม่จะยกหนุให้มะหรือเปล่า"

"เปล่า ฉันไม่ได้ยกแกให้เขา ฉันบอกเขาว่าถ้าไม่มีแก ใครจะช่วยฉันดูแลน้องของแก แล้วช่วยฉันขายของล่ะ"

ผมถอนใจอย่างโล่งอก และกลับมานั่งคอยรถไฟกับแม่

ระหว่างนั้นผมหลับๆตื่นๆ แต่ทุกครั้งที่ผมตื่นผมไม่กล้าหันกลับไปมองที่ร้านขายโรตีนั่นแม้แต่นิดเดียว แล้วผมก็พยายาม อยู่ใกล้แม่ให้มากที่สุดเท่าที่สามารถทำได้

จังหวัดนครศรีธรรมราชในครั้งนั้น สำหรับผมเป็นเมืองที่น่าอยู่ ผู้คนมีน้ำใจ แม้แต่เด็กตัวเล็กๆอย่างผมในตอนนั้น ก็สามารถเดินไปขายของตามลำพังได้ ไม่มีภัยอันตรายใดๆ (ถ้าไม่นับเรื่องที่โดนคนมาขอเอาไปเป็นลูก) ผมมีความประทับใจกับอาหาร ความสงบ และธรรมชาติต่างๆที่สวยงาม ผมเชื่อเสมอว่าคนชนบทมีน้ำใจเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ มากกว่าคนกรุง

ผมจะฝันเฟื่องไปไหม ถ้าผมจะบอกว่าผมอยากพบอยากเห็นสิ่งดีงามต่างๆที่ผมเคยพบมาเมื่อสี่สิบกว่าปีที่แล้ว

ลึกๆแล้วผมเชื่อว่า ความฝันของผมคงไม่ไกลเกินเอื้อม ถ้า..คนไทยทุกคน เริ่มกลับมาทำความรู้จักกับคำว่าน้ำใจ และมิตรภาพ

จบสำหรับเมืองนครฯในวันนี้ครับ โอกาสหน้าผมอาจจะพาท่านไปภาคเหนือ อีสาน ฯลฯ ถ้าผมไม่ขี้เกียจเขียนซะก่อน

ขอบคุณเพื่อนๆ สมาชิกทุกท่านที่เข้ามาแสดงความคิดเห็นและอ่านกระทู้ครับ

รอยจูบแรกของฉัน
By: แดงชรา เว็บprachatalk.com

9/07/2010 : ขอเขียนเรื่องเบาๆ คลายกระแสความเครียดที่กำลังเกิดขึ้นกับผมและเพื่อนๆหลายๆคนนะครับ หวังว่าคงพอคลายเครียดได้บ้าง

เมื่อตอนผมอายุได้ 7-8 ขวบผมจะถูกแม่ใช้ไปซื้อของที่ร้านชำแถวบ้านบ่อยๆ สมัยนั้นผมอยู่แถวถนนตก แต่ผมมักจะไม่ค่อยไปตามคำสั่งแม่เพราะ ผมกลัว...

แม่ผมแกเป็นคนดุ ผมเลยโดนฟาดบ่อยๆที่ทำอิดออด การถูกแม่ตีด้วยไม้เรียวเจ็บไม่ใช่น้อยและไม่น่าอภิรมย์เท่าไหร่ ผมเลยต้องเลือกเอาระหว่างไม้เรียว หรือโดนจับตัวไปจูบ...จากผู้หญิงคนหนึ่งซึ่งอายุมากกว่าผม 10 ปี

พี่คนนี้ชื่ออ้น แกเป็นคนผิวคล้ำ อวบ ก็น่ารักดีนะสำหรับความคิดผมเมื่อโตขึ้น แต่...ตอนนั้นผมไม่ชอบแกเลย ถึงขั้นกลัวเพราะแกจะคอยจ้องว่าผมจะเดินผ่านหน้าบ้านแกที่ขายเมี่ยงคำเมื่อไหร่

ไม่ว่าผมจะแอบ จะหนีอย่างไรก็ไม่เคยพ้นสายตาแกสักที เมื่อแกเห็นผมแกจะรี่เข้ามาแล้วกอดผมไว้ ผมพยายามดิ้นรนเพื่อหนีแก แต่แกตัวใหญ่กว่าผม ผมสู้แรงแกไม่ได้ แกจะหัวเราะชอบใจที่เห็นผมแสดงกิริยาเช่นนั้นแล้วพูดกับคนที่อยู่แถวนั้นว่า

"ไอ้...มันน่ารักดี เลยชอบหอมแก้มมัน มันยิ่งกลัวเรายิ่งแกล้งสนุกดี"

แล้วผมก็จะถูกแกกอดรัดฟัดเหวี่ยงและหอมแก้มทุกวัน พอแกหนำใจแล้วก็ปล่อยผมไป ผมจะร้องไห้แล้วเอามือเช็ดแก้มตัวเองเพราะความโกรธและรังเกียจที่สุด พี่อ้นและผู้ใหญ่ทุกคนที่เห็นจะหัวเราะเพราะขำผมทุกครั้ง มันยิ่งทำให้ผมโกรธและกลัวพี่อ้น จนจิตแทบหลอน

และนี่คือจูบแรกของผมที่ได้รับจากผู้หญิงอื่น ที่ไม่ใช่แม่หรือญาติผู้ใหญ่ของผม มันไม่ประทับใจเลยสักนิดเดียว ผมยังจำความรู้สึกของตัวเองในตอนนั้นได้ดีมาจนถึงทุกวันนี้

ก่อนผมจะย้ายมาจากถนนตกผมมีลูก ๒ คนแล้ว พี่อ้นก็มีครอบครัวและลูกชาย 2 คน ถึงอย่างนั้นเวลาเราเจอกันโดยบังเอิญแกก็ยังชอบแหย่ผมบ่อยๆว่า

"เฮ้ย...มาให้พี่หอมทีหนึ่งไอ้..."

แล้วเราสองคนจะหัวเราะขึ้นมาพร้อมๆกัน เพราะยังจำถึงวันเก่าๆที่ผ่านมาได้ดี ผมไม่เจอพี่อ้น ผู้หญิงคนแรกที่จูบผมเลยตั้งแต่ปี 2532 ตอนนี้ผมอายุ 52 พี่อ้นก็คงปาไป 60 กว่าแล้ว

เพื่อนๆล่ะครับ ยังจำความรู้สึกถึง รอยจูบครั้งแรกในชีวิตได้ไหม เอามาแชร์กันแก้เครียดบ้างนะครับ สำหรับผมจูบครั้งแรกมันลืมไม่ลงจริงๆ จ้า

อิอิ...

By: ไหมไทย maithai : ถ้าพี่อ้นเป็นสาวสวย คุณลุงอาจจะบอกว่าพี่สาวครับ...อะไรเงี้ยอ่ะค่ะ อิอิ

By: แดงชรา : พี่อ้นแกก็สวยนะครับ แต่ความรู้สึกตอนนั้นผมเหมือนโดนแกล้ง ผมไม่ชอบให้ใครมาบังคับครับ แดงชรามีความเป็นส่วนตัวสูงในบางครั้ง หนูไหมพี่อ้นเขาแกล้งผมต่อหน้าคนเยอะแยะ ผมอายครับ แต่ตอนนี้ผมเข้าใจพี่อ้นแล้ว แกคงแค่อยากจะหยอกไอ้แดงเด็กที่เงียบๆ และไม่ค่อยสุงสิงกับใครเล่นเท่านั้นเอง

By: ไหมไทย maithai : ไหมเข้าใจค่ะ คุณลุงแดงขี้อาย แล้วก้อรู้สึกไม่ยินดีที่จะให้ใครมาทำอย่างนั้นนะคะ โดยเฉพาะคนนั้นเป็นผู้หญิง อิอิ

By: แดงชรา : ไม่ถูกทั้งหมด แต่ใกล้เคียง

By: ไหมไทย maithai : อิอิอิ ยกเว้นตอนโตแล้วงัยคะ กะคนที่พอใจนะคะ ไม่ใช่รู้สึกเหมือนถูกบังคับแล้วใครๆหัวเราะเห็นเป็นเรื่องตลก อิอิ

แหม...จูบแรกคุณลุงแดงไม่ยักกะเหมือนในนิยายโรมานซ์ ไหมว่าอย่าไปนับมันเลยค่ะ

By: MonkeyLuffy : ลุฟฟี่ว่า..มันเป็นความทรงจำที่ดีนะครับ ก็อย่างเมื่อเรายังเป็นเด็ก พ่อ-แม่มักจะให้เรานอนหัวค่ำ-ห้ามกินขนมก่อนกินข้าว ช่วงนั้นมันอาจจะโหดร้ายทารุณ สำหรับเด็กๆ แต่พอเราโตขึ้นถึงได้รู้ว่าเป็นเรื่อง จิ๊บ-จิ๊บ..กอด-จุ๊บ มันก็มีนัยยะมากกว่าคำว่าเกี่ยวกับเพศ เวลาเราเป็นห่วงเพื่อนๆเพศเดียวกัน เมื่อเจอเราจะวิ่งไปกอดเค้าตามสัญชาติญาณ (แต่คงไม่คิดจะจุ๊บ กลัวคู่กรณีรับไม่ได้) อาจเป็นเพราะผู้ชาย เป็นเพศที่ไม่กล้าแสดงออกก็ได้...อิอิอิ

By: แดงชรา : เสียดายอ่ะลูฟฟี่ พอผมโตขึ้นดันไม่มีใครมาทำแบบพี่อ้น...

เดี๋ยวนี้สาวๆเห็นแดงชรามีแต่วิ่งหนี

อิอิ...


พี่วุฒิครับ...ผมเคยมีพี่ชายพ่อแม่เดียวกัน แต่...แม่แท้งไปเสียก่อน ผ่านมาได้ไม่ถึงปีแม่ก็ตั้งท้องผม ผมเลยเปรียบเหมือนลูกโทนของพ่อ...ยามผมทุกข์ใจ และอยากมีใครสักคนผมมักจะนึกถึงพี่ชาย...ที่ผมไม่เคยเห็นหน้า ผมเชื่อว่าหากพี่ชายผมมีชีวิตอยู่...พี่ชายคงรักผมเช่นที่ผมรักพี่ชาย ไม่รู้ซิ...ผมคิดตั้งแต่ตอนแรกที่เข้ามาในนี้ว่า พี่วุฒิเป็นพี่ชายที่แสนดีของผม


รู้ว่าเหนื่อยแค่ไหน ว่าหนักแค่ไหนบนหนทางสู้ ยังมีคำปลอบโยน ยังมีคำปลอบใจ มีคำว่าซำบายดีบ่ให้กันเสมอ...

ชัยชนะที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของตัวผมเอง
By: แดงชรา เว็บprachatalk.com

13/10/2013 : วันนี้มีเรื่องมาเล่าสู่กันฟัง เหมือนเคย ไม่ใช่เรื่องของผู้ใด มันเป็นเรื่องของตัวผมเอง

ผมเห็นว่าผมทำ...แล้วได้ผลดี เลยอยากเอามาเล่าสู่ให้เพื่อนๆ สมช.ฟัง อ่านจบแล้ว เพื่อนๆ คิดว่าผมได้ชัยชนะมั้ยครับ

จะค่อยๆ เขียน จะได้ไม่เขียนผิดๆ ถูกๆ เหมือนครั้งก่อนๆ แต่ ขอออกตัวก่อนว่า สายตาผมไม่ค่อยดีครับ แฮ่...ผมแกเลี้ยวครับ

ใครเชื่อเรื่องบุญกรรมบ้าง... ถ้าคนที่เชื่อเรื่องนี้จะเข้าใจในเรื่องที่ผมจะเล่าต่อไป ส่วนคนที่ไม่เชื่อก็ถือว่าอ่านเล่นๆ คั่นเวลาว่างก็แล้วกันนะครับ กรุณาอย่าถกเถียงกัน เพราะสิ่งที่ผมจะเล่าต่อไปนี้เกิดกับผมจริงๆ ไม่ใช่นิทาน

เมื่อครั้งเกิดวิกฤติในชีวิตผม ตอนปี 47 ผมพกความแค้นเอาไว้กับตัวและใจของผมมาก คิดดูก็แล้วกันว่ามันน่าแค้นใจมั้ย คนข้างตัวคิดจะฆ่าผม เขาฆ่าผมโดยไม่ใช้อาวุธ หรือยาพิษ แต่เขาเจตนาฆ่าให้ผมตาย ด้วยการะกระทำ และคำพูด

เปรียบเหมือนกับว่าเขาหยิบมีดขึ้นมา แล้วส่งให้ผมเอาไปแทงหัวใจตัวเองให้ตาย คุณคิดว่าผมทำตามเจตนาของคนๆนั้นมั้ยครับ

เกือบโง่ทำครับ แต่ ไม่รู้ว่าเป็นเพราะความกลัวตาย...ที่มันยังหลงเหลืออยู่ในสัญชาติฌาณ ของความเป็นมนุษย์๋ ที่ย่อมมีความรักชีวิตของตน หรือเป็นเพราะความรัก ความเป็นห่วงที่ผมมีต่้อ ลูกๆ และ แม่ ก็ไม่รู้ ที่ทำให้ผมไม่เลือกเดินตามทางที่ใครคนนั้น ยั่วยุให้ผมทำ

ผมมีความรู้สึกอยู่สองอย่างในตอนนั้น คือ ตายๆไปซะเหอะ ปัญหามันหนัก เสียใจที่สุด ทรมานและเจ็บปวด หรือ ฆ่า...แม่งให้ตายไปเลยทั้งสองคน คนสองคนที่ทำให้ผมมีปัญหา พอผมเลือกที่จะอยู่ต่อ จิตที่อาฆาตแค้นมันก็บอกผมว่า ฆ่าพวกมันซะ

ก่อนทำผมก็ไปปรึกษาญาติผู้ใหญ่ผมที่แกไม่ธรรมดา แกโหดมาก่อน แต่ตอนนี้แกหักเขี้ยวหักเล็บตัวเองหมดแล้ว จากเสือกลายเป็นแมวน่ารักของภรรยา ฮ่าๆ

"อาหนูว่าจะตามไปฆ่ามันดีมั้ย"

"ไอ้หนูเอ็งคิดจะทำอะไร"

"หนูจะหาปืนไปยิงมัน หรือไม่หนูก็จะเอามีดไปเสียบแม่งให้ตาย"

แกแสยะยิ้มแล้วมองผมอย่างสมเพชลูกกะตาของแก แล้วแกก็บอกว่า

"ทำยังงั้นเอ็งก็ควาย โง่ฉิบหายเลย เอ็งคิดดูนะถ้าเอ็งไปฆ่ามัน เอ็งก็ต้องติดคุก ในคุกไม่ใช่สถานที่ที่น่าอยู่นะโว้ย จะบอกเอาไว้ให้แม่งนรกบนดินชัดๆ และที่สำคัญ...เอ็งทำไปก็ไม่ได้ประโยชน์อะไรขึ้นมา จะได้ก็แค่ความสะใจ อาจะสรุปให้เอ็งฟังว่า คนของเรามันเฮงซวยเอง"

ผมคิดตามที่แกบอก มันจริงแฮ๊ะ ถ้าผมติดคุก เวรของกรรม กรรมของเวร ทุกอย่างมันตกลงมาที่ลูกๆของผม และที่สำคัญผมนึกถึงภาพแม่ผมที่ชราภาพต้องมาเกาะลูกกรงเยี่ยมผม มันคงเป็นภาพที่ีน่าอดสูพิลึก

"แล้วอาจะให้หนูนั่งดูมันย่ำยีเฉยๆยังงั้นหรือ อาเข้าใจไหมว่าหนูแค้นมันมาก นี่ไอ้คนนั้นมันกำลังฆ่าหนูทางอ้อมนะ"

"เอ็งท่องเอาไว้ จงอดทนๆ"

อาผมแกพูดกับผมเท่านี้แหละ แล้วแกก็ไม่พูดอะไรอีก นอกจากแกจะรีบเข้าห้องเอาปืนของแกที่ผมเล็งๆอยู่ไปใส่ตู้ลั่นกุญแจเอาไว้

ผมหอบสังขารที่แทบจะเหลือแต่ซากกลับมานอนก่ายหน้าผากที่บ้าน และยังไม่ล้มเลิกความตั้งใจ ไม่มีปืน มีดก็ได้วะ

ผมลูบๆ คลำๆ มีดที่ผมมีอยู่พร้อมทั้งกะแผนการณ์เอาไว้ในหัว พรุ่งนี้เราก็บุกไปหามันเลย ถึงแม้ไม่เคยเจอหน้า แต่สาย...ให้รูปถ่ายไว้แล้ว

ผมหว่านเงินวางสาย...หมดไปหลายตังค์ และก็ได้ผล เงิน...ช่วยได้เยอะ และเงิน...ก็สามารถจ้างวานคนที่เป็นมืออาชีพมาทำแทนผมได้ แต่...มันไม่สะใจ มันต้องตายด้วยมือของผมเอง ตอนนั้นผมมีความอาฆาตมากที่สุด

คืนหนึ่งขณะที่ผมนอนหลับ ผมก็รู้สึกว่าผมได้ยินเสียงของผู้ชายคนหนึ่งพูดขึ้นมาว่า

"อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ท่องเอาไว้นะ จงท่องเอาไว้"

ผมตกใจตื่น มองไปก็ไม่เห็นมีใครนอกจากลูกสาวที่นอนอยู่ข้างๆ ผมก็คิดว่าผมฝันไปแหงๆ แต่ผมก็ท่องคำเหล่านั้นไว้ในใจตลอดเวลา เรียกว่าลืมตารู้สึกตัวเมื่อไหร่ ผมก็ท่องคำเหล่านั้นจนหลับไปอีกครั้ง

ผมตื่นขึ้นมาในตอนเช้า ผมก็จำคำเหล่านั้นได้จนขึ้นใจ ผมแปลกใจมาก เพราะปรกติแล้วผมไม่ใช่คนใกล้วัดวาเท่าไหร่ แล้วผมฝันถึงคำพูดเหล่านี้ได้ยังไงหว่า

อนิจัง ทุกขัง อนัตตา คืออะไร? ผมเที่ยวไปถามใครๆที่รู้จัก เขาก็บอกว่าไม่รู้เหมือนกัน

จนวันหนึ่งผมได้นั่งคุยกับน้องเมย์ ลูกสาวของเพื่อนบ้านที่สนิทกัน ผมก็เลยเล่าให้เด็กฟัง แล้วผมก็บอกว่าอยากรู้จริงๆ ว่าคำเหล่านั้นมันหมายถึงอะไร แล้วน้องเมย์ก็บอกกับผมว่า

"ลุงหนู...ค่ะ พรุ่งนี้จะมีพระอาจารย์มาสอนธรรมะที่โรงเรียนเดี๋ยวน้องเมย์จะถามพระอาจารย์ให้ค่ะ"

วันรุ่งขึ้นน้องเมย์ก็มาบอกกับผมว่า

"หนูถามพระอาจารย์แล้ว ท่านถามหนูว่าทำไมถึงเอาเรื่องนี้มาถาม หนูก็เลยเล่าเรื่องของลุงให้พระอาจารย์ฟังว่าลุงฝันถึงคำเหล่านี้ พระอาจารย์บอกกับหนูว่า แสดงว่าคนๆนี้กำลังมีความทุกข์มาก พระอาจารย์ฝากให้หนูมาบอกว่า คำเหล่านั้นคือหลักแห่งไตรลักษณ์ และพระอาจารย์บอกมาว่าให้ลุง...ไปค้นหา และทำความเข้าใจกับหลักไตรลักษณ์นี้ แล้วลุงจะหมดทุกข์"

หลังจากนั้นผมก็ค้นหาความหมายของคำเหล่านี้

อนิจจัง แปลว่า ไม่เที่ยง ไม่ยั่งยืน ไม่แน่นอน

ทุกขัง แปลว่า ความเป็นทุกข์...ที่เกิดจากสิ่งรอบๆตัว

อนัตตา แปลว่า ไม่ใช่ตัวตน ทุกสิ่งคือความว่างเปล่า ไม่มีอะไรเลย

ผมเอามาเขียนคร่าวๆนะครับ ถ้าผู้ใดอยากรู้ละเอียดลึก ลองไปศึกษาด้วยตัวเอง ผมขอแนะนำเพราะการเรียนรู้ด้วยตัวเอง ย่อมเกิดความเข้าใจลึกซึ้งมากกว่าฟังคนอื่นบอกแก่เรา

เชื่อมั้ยว่าหลังจากที่ผมทำความเข้าใจกับหลักของไตรลักษณ์ ผมรู้สึกดีขึ้นเยอะ และที่สำคัญความโกรธ ความแค้น อาฆาต ที่ผมเคยมีมันเบาบางลง

ผมนั่งคิด ผมไปยึดติดกับใคร...ทำไม ผมไปคิดเป็นเจ้าเข้าเจ้าของใครได้ยังไง...

วันหนึ่งเรารักกัน เราสุข
วันหนึ่งเขาหมดรัก เราทุกข์
วันนี้เราได้อยู่กับคนที่เรารัก เราสุข
วันหนึ่งคนที่เรารักจากไป ไม่ว่าจะจากเป็นหรือจากตาย เราก็ทุกข์

ยามสุข เราก็เบิกบาน ยิ้มแย้ม
ยามทุกข์ เศร้าหมอง ร้องไห้
สมหวัง ดีใจ ระรื่นจิต
ผิดหวัง มานั่งคิด อยากตาย หรือฆ่ามัน

เอาชนะ ศักดิ์ศรี กูคืนมา
ทุกทิวา ราตรี ฆ่าให้สิ้น
ได้แต่คิด ใครเขาจะได้ยิน
ที่สูญสิ้น คือ ตัวเรา ความสุขใจ

ในโลกนี้ ไม่มี ตัวกู หรือของกู
ทำจิตรู้ เท่าทัน ธรรมทั้งสิ้น
วันนี้มี พรุ่งนี้หมด พบความจริง
ทุกสิ่งสิ้น...ตามกระแส...พระธรรม นา

เขียนกระทู้ มาลงที่กลอนๆแย่ แต่กลอนมันพาไปครับ

ตั้งแต่นั้นมาผมก็ได้คิด ทุกความรู้สึกค่อยๆหายไป

รัก........ไม่มี
โกรธ....มีอยู่บ้าง
อาฆาต....หายไป

ผมไม่สามารถปฎิบัติได้ทั้งหมด แต่ผมพยายามทำ...ในสิ่งที่ผมค้นพบ

ความทุกข์ที่มันทับถมในใจผมแรงกดที่เคบมีเริ่มเบาลง ผมหายใจได้สะดวกขึ้น ใบหน้าที่เคยแต่บึ้งตึง เพราะความเครียดแค้น เริ่มยิ้มแย้มได้ จากที่ไม่ยอมกินยอมนอน จนแทบไม่เป็นผู้เป็นคน

เวลาออกนอกบ้านไม่มีใครกล้าทักทาย เพราะผมไม่เคยตอบคำทักทายใคร ไม่เคยมองเห็นใครเลยสักคน ตอนนั้นผมจมอยู่กับความทุกข์ของตัวเอง ผมไม่เคยมองออกไปนอกโลกของตัวเองเลย

วันนี้ผมสามารถพูดคุญกับคนที่ที่ทำให้ผมทุกข์จนอยากฆ่าให้ตายได้เมื่อมีธุระ จากที่เคยบอกว่า อย่ามายุ่งกับกู

ผมบอกกับเขาว่า ไม่ต้องกลัวผมไม่ทำอะไรเขาแล้ว "ฉันไม่อาฆาต ไม่แค้น และไม่รักเธอแล้ว"

ผมคิดว่าที่ผมทำแบบนี้ได้เพราะผมเอาชนะใจตัวผมเองได้ ผมไม่ได้มุ่งแต่เอาชนะใครเหมือนก่อน

คนที่ทำให้ผมทุกข์ ทุกวันนี้เขาเองก็ไม่รู้ตัวว่าที่ผมเปลี่ยนไปนั้น ไม่ใช่เขาเอาชนะผมได้ จริงๆแล้ว ไม่มีใครเอาชนะผมได้ และผมก็ไม่เคยคิดจะชนะใคร

ผมคิดแต่เพียงว่า การที่ผมสามารถเอาชนะใจตัวเอง ถือว่าเป็นชัยชนะที่ยิ่งใหญ่ที่่สุดแล้ว

ขอบคุณทุกท่านที่เข้ามาอ่าน อาจจะเขียนไม่ได้ดีเท่าไหร่ อาจจะทำให้เข้าใจยาก แต่กระทู้นี้ผมเขียนสดๆขึ้นมา โดยที่ไม่ได้คิดจะเขียนมาก่อน ขอบคุณอีกครั้ง

กว่าจะผ่านมาได้ก็เลือดตาแทบกระเด็นครับ ปัญหาหนึ่ง โยงไปอีกปัญหาหนึ่งเป็นเหมือนลูกโซ่เลยล่ะ

ผมจริงจังกับชีวิต...เรื่องจริงครับ

ผมเคยเป็นคนมีข้อแม้ในชีวิตเยอะ ผมให้ความสำคัญกับคำสัญญามากที่สุด ผมเคยคิดว่าทุกคนต้องคิดเหมือนผม ผมไม่เคยรู้เลยว่า ธรรมะคือธรรมชาติ สรรพสิ่งย่อมแปรเปลี่ยน ผมเคยยึดติดกับทุกๆอย่างที่อยู่รอบๆตัวผม ผมไม่รู้จักความรักที่ไม่มีเงื่อนไข

ขณะนี้ผมรู้แจ้งแล้วว่า การยึดติด นำมาซึ่งความทุกข์ ปัจจุบันผมไม่รู้สึกเหงา เวลาอยู่คนเดียว ชอบด้วยซ้ำไป

ก่อนนั้นมองว่า คนๆนั้นเป็นคนไม่ดี ใจร้าย ใจดำ ตอนนี้ผมมองว่าตัวผมล่ะทำอะไรผิดพลาดบ้างหรือเปล่า?

มองดูตัวเองโดยไม่เข้าข้างตัวเรา ผมก็ทำอะไรผิดพลาดมาไม่น้อย ผมเคยเป็นคน...เจ้าอารมณ์ ใจร้อน ไม่ยอมคน หักลบกันแล้ว ผมว่าเค้ากับผมผิดพอๆกัน ดีที่จบกันไปแล้ว ก่อนที่จะทำร้ายจิตใจกันต่อไปเรื่อยๆ ไม่สายไปสำหรับผมครับ

ชัยชนะครั้งล่าสุดของผมคือ...ตัดใจไม่รับรักที่สาวอายุยี่สิบแปดขอสมัครเป็นแฟนคนอายุ 53 คือตัวผมเอง...

เท่ห์ซะไม่มี...