จะรีบไปไหน...จะรีบไปไหน...รอโหลดซักกะเดี๋ยวนะตะเอง...


PlayListนี้ เริ่มต้นด้วย "เล่าเรื่อง ตาดูดาวเท้าติดดิน" เรียงลำดับตั้งแต่ ตอนแรก ถึง ตอนปัจจุบัน ..ท้ายเพลย์ลิสท์เป็นคลิป "เมื่อศาลรัฐธรรมนูญกระทำขัดรัฐธรรมนูญ : จะทำอย่างไร?" วันพุธที่ 1 พฤษภาคม 2556 เวลา 13.00 - 16.00 น. ห้องกมลทิพย์ ชั้น 2 โรงแรมสุโกศล (สยามซิตี้เดิม) คลิปนี้..วิทยากร รศ.ดร.วรเจตน์ ภาคีรัตน์ คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ แสดงความคิดเห็นเริ่มนาที 0:14:24
คลิกที่นี่ ดูบนyoutube...
หรือคลิกที่นี่.. @ AsiaUpdate "เล่าเรื่อง ตาดูดาวเท้าติดดิน"

คลิกที่นี่ ดูบนyoutube...

คลิกที่นี่ ดูบนyoutube...

คลิกที่นี่ ดูบนyoutube...

วันอาทิตย์ที่ 11 สิงหาคม พ.ศ. 2556

34 ความเสียใจที่ไม่มีวันลืมของแดงชรา

@ สดุดี..นโยบายบัตรทองประกันสุขภาพ 30 บาทรักษาทุกโรค
@ ฮู้ยยยย...สติแตกกันไปหมดแย้วทั้งคนเล่นและกองเชียร์แนวร่วม
@ ความเป็นมาของ คดีสะเทือนโลก "ที่ดินรัชดา" ที่ทุกๆคนควรรู้!!!
@ พี่สาวผมเคยถามผมว่า ทำไมผมจึงฝักใฝ่อยู่กับคุณทักษิณ?????
@ เฮ้อ!! ณ นาทีนี้..บอกได้คำเดียว เสียดาย..เสียดายครับ...นโยบายดีๆที่คน กทม. ไม่เอ๊า..ไม่เอา...
@ ทำความเข้าใจก่อนวิจารณ์ "การลงทุน 2 ล้านล้าน" กับ รัฐมนตรีชัชชาติ สิทธิ์พันธุ์
@ เขียนให้อ่าน..จากใจ ดร.วีรพงษ์ รามางกูร
@ ทิ้งหนี้ไว้ให้ลูกหลาน โดย ดร.วีรพงษ์ รามางกูร
@ อะไรคือ มรดกอสูร!!! ใครคือ ทายาทอสูร!!! ดร.โกร่งมีคำตอบ
@ ผงซักฟอกยี่ห้อใหม่ตราตาชั่งเอียงสีฟ้า
@ เป็นเพราะว่าตุลาการศาลรัฐธรรมนูญเหล่านี้ไม่มีสำนึกในการรักษาความยุติธรรม..และยังทำลายความยุติธรรมด้วยมือของตนเองอีกด้วย...
@ คำแปล ปาฐกถาพิเศษ ปชต."นายกฯยิ่งลักษณ์"ที่มองโกเลีย
@ จดหมายเปิดผนึก.. ส.ส.และ ส.ว.312 คน คัดค้านและไม่ยอมรับการใช้อำนาจที่ขัดต่อรัฐธรรมนูญของศาลรัฐธรรมนูญ

คลิกที่ภาพ...เพื่อดูขนาดที่ใหญ่ขึ้น @ New!! แจกปฏิทินนายกฯปู พ.ศ.2556 คลิกที่นี่...

คลิกที่ภาพ...เพื่อดูขนาดที่ใหญ่ขึ้น


ความเสียใจที่ไม่มีวันลืมของแดงชรา
By: แดงชรา เว็บprachatalk.com

@ คนแก่...(แดงชรา) ชอบเล่าเรื่องอดีต

11/08/2013: เห็นกระทู้เกี่ยวกับเรื่องแม่หลายกระทู้แล้ว และผมก็ได้เข้าไปอ่าน หลายๆ คห.น่าสนใจ

ที่จริงเรื่องของผมกับแม่ ผมเคยคิดว่ามันเป็นสิ่งที่ไม่สมควรเอามาบอกเล่าให้ใครฟัง เนื่องจากผมคิดเสมอว่าสิ่งที่ผมทำพลาดไปกับแม่ผู้มีพระคุณ มันเป็นเรื่องที่แย่มาก

แต่ เมื่อกลับเอามาคิดทบทวน ผมว่าบางทีเรื่องราวของผมกับแม่ อาจเป็นอุทาหรณ์ได้ไม่มากก็น้อย

ผมจะเล่าให้ฟัง ว่าทำไมผมผมถึงเสียใจ...และรู้สึกผิด จนไม่เคยลืม แม้แต่สักวันเดียว...


" ...แม่ผมมีลูกทั้งหมด ๙ คน ผมเป็นลูกคนกลาง พ่อผมเสียชีวิตตั้งแต่ผมอายุแค่ ๙ ขวบ พ่อคือคนที่ผมรักมากที่สุด และผมกล้าพูดได้เต็มปากว่า พ่อคือคนที่รักผมมากที่สุดในโลกนี้

เมื่อแม่มีครอบครัวใหม่ ผมมีน้องตามมาอีก ๔ คน พี่ๆทั้งสี่ไม่ได้อยู่กับแม่ แต่ผมอยู่กับท่าน ผมจึงกลายเป็นลูกคนโตไปโดยปริยาย หน้าที่ดูแลน้องๆทั้ง ๔ คนจึงตกอยู่กับผมคนเดียว

แม่กับสามีใหม่ของท่านมีอาชีพค้าขาย ซึ่งต้องออกต่างจังหวัดบ่อยๆ เมื่อน้องยังเล็กเวลาผมไปโรงเรียน แม่ก็เอาน้องผมไปไว้บ้านคนเลี้ยง เวลาผมเลิกเรียน ผมมีหน้าที่ดูแลน้องๆ

วันเสาร์อาทิตย์ ผมไม่เคยออกไปเที่ยวเตร่ที่ไหน เพราะต้องคอยเลี้ยงน้องทำงานบ้าน ฯลฯ

นี่คือสาเหตุที่ทุกวันนี้ผมไปไหนมาไหนไม่ค่อยถูก แม้จะอยู่ กทม.มาตั้งแต่เกิดก็ตาม ใครอย่ามาถามผมเลยว่าจะไปสะพานควายนั่งรถเมล์สายอะไร ผมตอบใครไม่ได้ เพราะความที่ไม่เคยออกไปไหน ต้องทำหน้าที่ ให้ดี และทำทุกวันไม่งั้นแม่ตี

แม่ผมแกเป็นคนดุ...ดุมาก ใจแข็ง โดยเฉพาะกับผม แกเลี้ยงแบบสุภาษิตที่ว่า รักวัวให้ผูกรักลูกต้องตี

แม่ใจร้อน...เวลาใช้ให้ผมไปซื้อของ แกจะคอยว่า "เร็วๆนะอย่าช้าไม่งั้นเอ็งโดน"

ผมจำได้ว่าตอนนั้นผมจะไปไหนมาไหนก็ตามผมไม่เคยเดิน ผมวิ่ง...วิ่ง...และก็ต้องวิ่ง

ใจไม่ดีทุกครั้งถ้าไปไหนมาไหนช้า ไม่ทันใจแม่ ก็ไม้ขัดหม้อมันไม่น่าพิสมัยสักเท่าไหร่เวลาท่านแม่ประทานให้ผม มันเจ็บที่สุด

แม่เคร่งคัดกับผมมากที่สุด เพราะผมจะโดนตีมากกว่าลูกทุกคน ในตอนเด็กเวลาโดนตีผมจะคิดเสมอว่าทำไมพ่อถึงต้องมาตายแล้วทิ้งผมไว้แบบนี้

ตอนนั้นผมน้อยใจแม่มาก คิดอยู่ตลอดว่าแม่ไม่รักเรา แม่รักน้องๆ มากกว่าเรา

ไอ้ผมมันก็เป็นคนแปลก คือเหมือนประชดชีวิตนะ ผมเห็นเวลาเพื่อนผมโดนแม่ตีมันใส่ตีนหมาโกยอ้าว

แต่ ผมไม่เคยวิ่งหนียืนให้แม่ตีอยู่นั่นแหละ ให้แกตีจนกว่าแกจะเหนื่อยไปเอง

เพื่อนผมมันเคยแนะผมว่า "ไอ้ห่าเอ้ย เวลาแม่เขาตีมึงทำไมมึงถึงไม่วิ่งหนีแบบกูวะ ยืนนิ่งเป็นตอไม้อยู่ได้"

ตอนนั้นผมก็ตอบมันไม่ได้ว่าทำไมผมไม่ใส่ตีนหมาเหมือนมัน นี่้มั้งที่เขาเรียกว่าเป็นคนมีทิฐิ?

ความรู้สึกว่าแม่ไม่รัก มันค่อยๆ ฝังแน่นเข้าไปในจิตใจผม โดยที่ผมไม่รู้ตัวตั้งแต่นั้นมาจนโตมีครอบครัวมันก็ยังเกาะกินใจผมอยู่ ไม่เคยเลือน ผมขอข้ามเรื่องปลีกย่อยไปนะครับ มันเยอะเกิน

เมื่อผมมีลูกสองคน วิกฤติในชีวิตครอบครัวก็เข้ามา เมื่อลูกชายคนเล็กผมกำลังจะเอ็นเข้ามหาลัย

ตอนนั้นผมทั้งยื้อ ทั้งด่า คือ ยื้อไปด่าไป ผลที่สุดก็กลายเป็นการทะเลาะเบาะแว้งกัน ด้วยคำพูดไม่ดี ที่มันทำให้ผมรู้สึกแย่มากที่สุด

ผมแทบไม่อยากมีชีวิตอยู่ แต่ห่วงลูกโดยเฉพาะไอ้คนเล็ก แต่ไอ้ความเครียดมันมีผลกับการดำเนินชีวิตตามปรกติ ผมเริ่มไม่ค่อยกินอาหาร

ผมสูง ๑๖๕ จากที่เคยน้ำหนัก ๖๐ กว่าๆ ในสองสามปีน้ำหนักผมเหลือแค่ ๔๔ กิโล

เพื่อนบ้านต่างจับตามอง เพราะเขาคิดว่าในไม่ช้าผมคงตาย ...เขามาเล่าให้ฟังตอนผมดีขึ้นแล้วครับ...

ตอนนั้นแม่ผมท่านชราภาพแล้ว อายุ ๗๐ กว่าๆได้ แกอาศัยอยู่กับพี่สาวผม แล้วเมื่อแกได้ข่าวว่าผมกำลังกลายเป็นไม้เสียบผี วันหนึ่งแกก็ให้พี่สาวขับรถมาเยี่ยมผมที่บ้าน

มาถึงแกมองผมด้วยแววตาที่ผมไม่ค่อยจะได้เห็น แต่ตอนนั้นผมกำลังหน้ามืด เลยไม่ได้สดุดใจอะไร ก็นั่งคุยกัน แม่ก็บอกกับผมว่า

"ทำไมเอ็งผอมขนาดนี้ว่ะ"

"หนูกินข้าวไม่ลง"

"แม่ว่าเอ็งเลิกสูบบุหรี่ดีกว่า ข้าวก็ไม่กินยังดันสูบบุหรี่อีก ถึงได้ผอมเป็นผี เออ แม่จะเข้าห้องน้ำเอ็งพาแม่ไปห้องน้ำทีซิ"

ผมชักแปลกใจ ว่าทำไมแม่เข้าห้องน้ำคนเดียวไม่ได้ ก็บ้านผมมันแค่ทาวน์เฮ้าส์เล็กๆ ห้องน้ำก็อยู่ข้างล่าง ใกล้ๆกับห้องสารพัดประโยชน์

แต่ผมก็ลุกพาแม่ไปห้องน้ำ แล้วแม่ผมก็หยุดเดินหน้าห้องน้ำก่อนที่แกจะทำอะไรที่ผมคาดไม่ถึง

ผมเห็นแม่ล้วงมือเข้าไปในกระเป๋าเสื้อ แล้วแกก็หยิบแบงค์พันออกมา

"แม่มีเงินอยู่แค่นี้ เอามาให้เอ็ง เอ็งเอาเงินที่แม่ให้ไปซื้ออะไรกินซะนะลูก แล้วอย่าไปคิดอะไรมาก อะไรมันจะเกิดก็ต้องเกิด ทำตัวเองให้แข็งแรง เอ็งจะได้มีชีวิตอยู่ดูแลไอ้คนเล็กให้มันเรียนจบแล้วมีงานทำเลี้ยงตัวได้ จำคำแม่ไว้ จงอยู่เป็นเสาหลักให้ลูก แม้เสาอื่นมันจะเดินหนีไปแล้วก็ตาม"

ผมกำแบงค์พันของแม่แน่นในมือ ตอนนั้นแม้จะกำลังแย่ แต่ผมพอมีเงินอยู่บ้าง มากกว่าแบงค์พันที่แม่ให้ แล้วผมก็ร้องไห้เงียบๆ คือยืนน้ำตาไหลออกมาเฉยๆ ที่จริงใจผมอยากจะคืนเงินให้แม่ไป แต่ผมไม่กล้า

เงินพันบาทของแม่ มันมีค่ามากกว่าเงินหนึ่งพัน มันคือความรักที่แม่ให้ต่อลูก มันยิ่งใหญ่มากกว่าเงินอื่นๆเป็นล้านๆ ผมพูดอะไรไม่ออก ได้แต่พยักหน้ารับคำแม่

"หนูจะเอาเงินที่แม่ให้ไปซื้ออาหารกิน หนูสัญญาว่าหนูจะพยายามกิน และมีชีวิตอยู่ เพื่อลูก"

ผมเล่าเรื่องราวนี้ให้ลูกสาวคนโตฟัง และเล่าถึงความรู้สึกของผมให้ลูกฟัง แล้วผมก็บอกลูกว่า

"...จะกินข้าวแล้ว พรุ่งนี้พาไปซื้อหมอตุ๋นอาหารนะ จะเอาเงินที่ได้มาเพราะความรักของแม่ไปซื้อ"

...ที่ผมต้องตุ๋นอาหารกินเพราะความที่ผมอดอาหารมานาน มันทำให้กระเพาะผมฝ่อผมเลยกินอาหารปรกติธรรมดาเหมือนคนอื่นไม่ได้ กระเพาะมันไม่รับอาหาร กินเข้าไปมันจะอ้วกออกมาหมด

หมอเขาบอกว่าถ้าผมอดอาหารอย่างนี้ผมจะตายสมใจในไม่ช้า

แล้วผมก็พยายามกินอาหาร แรกๆก็ทีล่ะคำสองคำ ต่อไปก็กินได้มากขึ้น จนสามารถกินอาหารเป็นปรกติได้ แม่ผมดีใจที่เห็นผมไม่ตาย และมีเนื้อมีหนังขึ้น


ผมจะบอกว่า ปมในใจของผมมันยังฝังลึกอยู่โดยที่ผมไม่รู้ตัว ที่บอกว่าแม่ไม่รักๆ จนสุดท้ายของชีวิตแม่ผม ผมก็ยังทำเลวๆ ซึ่งผมไม่เคยให้อภัยตัวเองเลย เรื่องต่อไปนี้ ขอให้เพื่อนอ่านนะครับ

วันหนึ่งเมื่อสี่ปีที่แล้ว ผมยังจิตตกอยู่และป่วย เลยหงุดหงิดง่าย ขี้โมโห ปะฉะดะเค้าไปทั่ว น้องสาวคนเล็กคนล่ะพ่อกับผมโทรมาบอกว่า

"พี่ ไปดุแม่หน่อยแม่เป็นไข้หวัด หนูขึ้นไปดูแม่ไม่ได้ ไปเร็ว ๆนะพี่"

ความที่ผมมีอารมณ์ไม่ปรกติ ผมเลยโมโห เลยย้อนถามไปว่า

"ทำไมเอ็งไปไปดูแม่เอง กูเดินแทบไม่ไหวเสือกมาใช้กู เอ็งมือดีตีนดีแข็งแรงทำไมไม่ไปเองล่ะ แล้วเลือกมาสั่งกูอีก เห็นแก่ตัว จะให้คนป่วยไปดูแลคนป่วย ใช้อะไรคิดวะ"

แล้วผมก็โทรไปหาแม่ ถามอาการแก แกบอกว่าแกค่อยยังชั่วแล้ว ความที่ผมโมโหน้องเลยด่าน้องสาวให้แกฟัง แกบอกผมว่า

"อย่าโมโหเอ็งยิ่งไม่สบายอยู่ แล้วก็อย่าไปโกรธน้องมันทำงาน คงไม่มีเวลามาดูแม่"

"แม่เข้าข้างน้องอีกแล้ว"

ผมพูดกับแม่แบบนั้นแล้วก็วางสาย แล้วผมก็ไม่โทรไปหาแม่อีกเลย เพราะผมน้อยใจ และผมประมาทในการใช้ชีวิต ผมไม่เคยคิดเลยว่าแม่...ผู้หญิงเก่ง แข็ง จะไม่มีวันตายจากผมไปได้ ผมลืมคิดถึงเรื่อง เกิด แก่ เจ็บ ตาย ผมโง่สิ้นดี

เดือนมกรา ๒๕๕๓

พี่สาวผมโทรมาหาผมตอนดึกบอกว่าแม่ล้มในห้องน้ำ ตอนนี้อยู่ห้องไอซียู หมอบอกว่าเส้นเลือดในสมองแตก ต้องผ่าตัดด่วน

"พี่ไม่กล้าตัดสินใจคนเดียว ช่วยพี่ตัดสินใจนะ"

ผมนั่งรีบนั่งแท็กซี่ไปทันที สภาพแม่ตอนนั้นมีสายระโยงระยางไปหมด แกนอนหลับตา ไม่พูด แต่มือแกไขว่คว้าตลอด ผมไปกระซิบบอกแม่ที่ข้างหูว่า "แม่หนูมาแล้ว"

แกคงพอรู้ตัวแกเอามือผมที่จับมือแกไว้ ดึงไปที่สายเครื่องช่วยหายใจ แล้วก็ดึงมือผมไปที่สายฉี่ที่หมอใส่ไว้ ผมรู้แกคงอยากจะบอกให้ผม บอกพี่น้องทุกคน และหมอว่า แกอยากไป...

ผมและพี่สาวคุยกับหมอเจ้าของไข้ หมอบอกว่าต้องผ่าตัดเดรนเลือดที่คั่งในสมองออก ผมถามว่าแล้วแม่จะดีขึ้นไหม หมอบอกว่าแม่แก่แล้ว ถ้ารอดแม่อาจจะเป็นเจ้าหญิงนิทรา แต่ หมอเกรงว่าจะยื้อชีวิตแม่ไม่ได้ เพราะแม่อายุมากแล้ว

สรุป เรายอมให้หมอผ่าตัดแม่

แม่ฟื้นขึ้นในตอนบ่ายของอีกวัน แต่แกยังหลับตาอยู่ ผมด่าตัวเองตลอดในตอนนั้นว่า ทำไมผมถึงน้อยใจแม่ จนไม่ยอมพูดคุยกับแม่ จนถึงวันนี้ผมมาหาแม่ แต่แม่พูดกับผมไม่ได้ แม้แต่จะลืมตามองผมแม่ก็ทำไม่ได้ ผมบอกเรื่องนี้กับพี่สาว พี่สาวบอกผมว่า

"ถ้าเปิดตาแม่แม่จะมองเห็นนะ พี่จะทำให้ดู แล้วพี่สาวผมก็เปิดเปลือกตาแม่ แล้วแม่มองมาที่ผม แม่ทำท่าทางเหมือนร้องไห้ ผมทนเห็นภาพนั้นไม่ได้ บอกอย่างไม่อายว่าผมวิ่งหนีจากเตียงที่แม่นอนอยู่พร้อมทั้งร้องไห้โฮๆ โดยไม่อายใคร

"ตอนนั้นผมเกลียดตัวเองที่สุด ที่โง่ ซื่อบื้อ ดันไปสงสัยในความรักของแม่ ไอ้เวร ... มึงมันโง่มันเลว แม่รักมึง แต่มึงตาบอดมองไม่เห็นความรักที่แม่มีให้ แม่เลี้ยงมึงมาตั้งแต่เล็กจนโต จนมึงมีครอบครัว แม่ให้มึงดื่มน้ำนมในอก เวลามึงทุกข์ จะตายห่า ใครมาดูมึง ไม่มีนอกจากแม่เท่านั้นไอ้เลว กูมันเลว"

แม่ผมนอนอยู่โรงพยาบาลหนึ่งอาทิตย์ และก็เสียชีวิต ผมช่วยงานศพแม่ทุกวันตลอดอาทิตย์ ทำทุกอย่างที่ทำได้ แม้จะไม่แข็งแรง ผมก็ดึงพลังเฮือกสุดท้ายออกมาจนหมด ผมไม่เป็นลมเป็นแล้งเหมือนที่ใครๆกลัว พี่น้องที่เขาแข็งแรงกว่าผมลมจับกันสองสามคน

จนวันลอยอังคารท่านที่หน้าวัดหลวงพ่อโสธร...ผมจำไม่ได้ว่าเขาเรียกแม่น้ำอะไร (แอดมิน: แม่น้ำบางปะกง) แกชอบที่นั่นแกไปกินเจอยู่ที่นั่นทุกปี

แม่ผมไปสู่สุขคติแล้ว แต่ผมยังอยู่กับความผิดที่ผมไม่มีวันลืม และไม่มีวันให้อภัยตัวเอง

เรื่องนี้สอนให้ผมรู้ว่า ลูกๆทุกคนอย่าได้คับข้องใจ หรือ สงสัยในความรักที่แม่มีต่อเรา ท่านนะรักเราน้อย หรือมาก แต่ความรักของแม่บริสุทธิ์ และเป็นความรักที่ยิ่งใหญ่ ไม่มีใครในโลกนี้จะรักเราได้ เท่าผู้หญิงคนนี้ คนที่เราเรียกว่า แม่

สุดท้ายนี้ผมจะบอกว่าผมรู้แล้วครับแม่ว่าแม่รักผม และผมขอโทษที่เคยมีอคติกับแม่ ผมขอกราบขอโทษแม่ครับ แม้มันจะสายไป แต่ ผมสำนึกแล้ว

ผมหวังกระทู้เรื่องของตัวผมที่เขียนมาในวันนี้ คงจะมีประโยชน์ต่อผู้อ่านไม่มากก็น้อย

ผมรักแม่ทุกวันและไม่มีวันเลิกรักแม่เลย... "


By: สุดสวย : สงสารชีวิตวัยเด็กของคุณแดงชราเนอะ เวลาแม่ตีสุดสวย สุดสวยจะนั่งร้องไห้เป็นวันๆ แล้วร้องเสียงดังมาก แม่จะต้องหาผ้ามาอุดปากสุดสวยเลยค่ะ แล้วสุดสวยจะดื้อที่สุดในบ้าน ตอนเล็กๆสุดสวยไม่ค่อยรักแม่หรอก เพราะแม่ดุ จะรักพ่อมากกว่าพ่อพาไปอยู่ด้วยไปออกท้องที่ ไปตามบ้านนอก ไปสวนไปป่าไปเมือง สุดสวยมารักและสงสารแม่ตอนที่มีลูกของตัวเองนี่แหละค่ะ

By: ตัวดำแต่ใจแดง : "ขอบคุณความจริงที่อยู่ในใจ ที่ท่านแดงชราได้เล่ามาให้ฟังนะครับ...

คนเราบางที ใครไม่โดนอย่างเราซ้ำบ่อยๆ จำเจอย่างที่พี่โดน เค้าก็คงจะไม่เข้าใจเราหรอกครับ...

ผมฟังพี่แล้ว เหมือนกับที่แม่ของผมเล่าชีวิตของท่านให้ผมฟัง ตอนที่ท่านยังเล็กๆ ไม่ค่อยต่างกันซักเท่าไหร่เลย...

เพราะเหตุนี้กระมัง แม่ผมเองจึงเลี้ยงลูกอย่างไม่เก็บกดนัก แต่มีระเบียบและเด็ดขาด...

ถ้าแม่ได้สั่งงานอะไรกับใครแล้ว??? ...คนนั้นต้องรับผิดชอบงานนั้นๆ อย่าให้บกพร่อง...

ส่วนนี้มันจึงติดตัวพวกผมมากันจนโต แต่เมื่อเทียบดู ผมยังเบากว่าชีวิตของท่านแดงชรามากๆเลยน่ะครับ...

ไม่ทราบว่า เรื่องทิฐิ ที่พี่เองก็รู้ตัวว่าพี่มีอยู่มาก ไม่ทราบว่า ปัจจุบันนี้ พี่ปล่อยวางมันลงได้มากหรือยังครับ???...

หากว่ายัง ผมอยากให้พี่ปล่อยวางมันลงซะเถอะนะครับ อย่าให้มันมาขุ่นอยู่ในจิตใจของเราอีกเลย...

ยอมรับสภาพกับสิ่งที่มันเป็น มีปัญหาอะไร??? ก็ค่อยๆหาทางแก้ไขมันไปนะครับ...

ขอให้พี่จงมีชีวิตที่เป็นสุข ในบั้นปลายของชีวิตนะครับพี่แดงชราครับ ด้วยความจริงใจครับ!!!"...

By: แดงชรา : คุณตัวดำใจแดงครับ

ผมยังคงมีทิฐิอยู่ แต่บางลงนิดแล้ว ผมคงได้มรดกจากแม่มาเต็มๆ เพราะคนรอบข้างบอกเสมอว่าผมเป็นคนดุ ลูกหลานค่อนข้างกลัวเกรง

ทุกวันนี้ผมว่าผมใจดีกว่าอดีต พี่น้องลูกหลาน หรือญาติผู้ใหญ่ก็ลงความเห็นว่าผมเบาลง แต่คนมันเคยเกรงกันก็เลยเกร็งๆกันอยู่

ผมคิดว่าการที่เรามีอายุมากขึ้น เราควรจะใจเย็น และยอมรับฟังคนอื่น โดยเฉพาะความรู้สึกหรือ ความคิดของเด็กๆ ถ้าเรายังคงเป็นคนตรงเป๊ะเกินไป บางทีลูกหลานที่มันทำอะไรไม่ถูกต้อง ก็ไม่กล้าพูดคุยให้เราฟัง และมันจะทำให้เค้าเดินไปในทางที่ผิดอย่างโดดเดี่ยว

ปัจจุบันผมกลายเป็นที่ปรึกษาของเด็กๆแถวบ้าน ก็คอยช่วยแนะนำหรือแก้ปัญหาให้ แม้เขาจะมาปรึกษาแบบกล้าๆกลัว ๆก็ตาม แต่ก็ดีกว่าเขาจะทำอะไรลงไปด้วยวุฒิภาวะที่ยังไม่พร้อม

ขอบคุณอีกครั้งในความห่วงใยครับ

By: ตัวดำแต่ใจแดง : ..."ถ้าเรายังคงเป็นคนตรงเป๊ะเกินไป บางทีลูกหลานที่มันทำอะไรไม่ถูกต้อง ก็ไม่กล้าพูดคุยให้เราฟัง และมันจะทำให้เค้าเดินไปในทางที่ผิดอย่างโดดเดี่ยว"...

ดีใจครับ ที่ได้อ่านเม้นท์นี้ของพี่ มันบอกว่า พี่แดงเองก็รู้ตัวพี่เองดีอยู่แล้ว...

สิ่งที่มันจะช่วยให้พี่มีความสุขได้ดีที่สุดแล้วก็ไม่เครียดด้วย นั่นก็คืออะไรที่มันพอจะละวางได้บ้าง...

พี่ก็อย่าไปยึดไปถือ เอามันมาให้หมองในอารมณ์เลยน่ะครับพี่ ขอให้พี่มีความสุขตามที่มันควรจึงพึงมีพึงได้นะครับ"

By: รักกัน : ผมชอบบทความทั้งหมดนี้ และผมรัก ถ้อยคำในประโยคนี้...

"อย่าได้สงสัย ในความรักของแม่"

By: payai97 : ไม่ต้องหวังอะไรมากกับแม่..มากไปกว่าปัญญาของแม่จะหยิบยื่นให้

แค่อุ้มท้อง 9 เดือนเบ่งออกมาเจียนตาย บุญคุณก็ล้นหัว..ทั้งชาติก็ใช้แม่ไม่หมด