@ อู่ตะเภา-เขาวิหาร สันดาน "แมลงสาป"
@ ผมเคยคิดว่า ปชป.แม้จะเป็นรัฐบาลไม่ได้ แต่ก็เป็นฝ่ายค้านที่มีคุณภาพ ดังนั้นผมจึงคิดว่า...
@ "ดิฉันวินิจฉัยแล้ว ไม่มีหรอกค่ะโรคขี้ข้าทักษิณ มีแต่โรคอยากกลับมาเป็นนายกฯ โดยไม่ต้องชนะเลือกตั้งทักษิณ"
@ ภาพรวมในความคิดผม หนึ่งวันก่อนตัดสินจนถึงยกคำร้อง
@ สาเหตุที่มึงป่วย...เพราะ...โง่...
@ ข้อเสนอแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยเพื่อยกเลิกศาลรัฐธรรมนูญและจัดตั้งคณะตุลาการพิทักษ์ระบอบรัฐธรรมนูญ
@ นกแก้วตัวนั้น?
@ มีคนเขาบอกว่า ผมถูกหลอก
คลิกที่ภาพ...เพื่อดูขนาดที่ใหญ่ขึ้น @ โหลดเก็บไว้ในcomเชิญคลิกที่นี่...
เก็บหน้านี้ไว้ใน Favorites เพื่อสะดวกในการอ่านตอนต่อๆไป นะครับ
หมายเหตุ: ขอขอบคุณและขออนุญาตคุณ Jenovic นำข้อเขียนของท่านมาลงไว้เว็บนี้นะครับ
ตอน จูล่งคับข้องใจ
ในลานยุทธ์อันวางเปล่า มีขุนพลชราร่ายรำเพลงทวนอยู่เดียวดาย แม้กระบวนท่าดูหนักแน่น แต่จิตใจกลับเลื่อนลอยยิ่ง แววตาของมันคล้ายมีเรื่องหนักอึ้งเกาะกุมจิตใจ แม้ไม่ได้กล่าวออกมา แต่กลับแสดงออกด้วยเพลงทวน ที่แท้ขุนพลผู้นี้ เป็นยอดขุนแห่งจกก๊กพรรคเก่าแก่แห่งเสฉวน นามว่าจูล่ง
ยามนั้นบังเกิดเสียงปรบมือชื่นชม พร้อมเสียงหัวเราะปลาบปลื้มให้ได้ยิน จูล่งจึงชะงักท่าร่าง หันไปเหลือบแลผู้มาเยือน จึงทราบว่าเป็นขงเบ้ง ที่ยืนแย้มยิ้มมองดูตน
"ที่แท้ ท่านอาจารย์ขงเบ้ง มาเยี่ยม ไม่ทราบท่านมาเมื่อใด ข้าพเจ้าไม่ทันได้ตอนรับ ต้องขออภัยแล้ว ..ท่านอาจารย์เชิญนั่ง"
ขงเบ้งหัวเราะอย่างกันเอง ในความใจลอยของ แม่ทัพจู ก่อนจะเชื้อเชิญให้มานั่งร่วมกัน ชั่วครู่ ขงเบ้งจึงเริ่มเอ่ยขึ้นว่า
"เมื่อเช้า เราประชุมผู้นำจกก๊กแทนเล่าปี เห็นท่านมีความในใจ เพียงแต่ไม่กล่าวออกมา หรือท่านมีความไม่สบายใจ ที่เล่าปีแต่งตั้งให้อาเต๊าเป็นผู้สืบทอด ปกครองจกก๊ก"
จู่ลง ชะงักงันเล็กน้อย นับว่าไม่มีสิ่งใดปิดบังขงเบ้งผู้นี้ได้จริงๆ พลางทอดถอนใจ จำต้องเอ่ยว่า
"เซินเซียง(มหาอุปราช) กล่าวถูกต้องแล้ว ข้าพเจ้ามีความไม่สบายใจนัก ในการศึกข้างหน้าใหญ่หลวง วุยก๊กเต็มไปด้วยผู้มีความสามารถ 111ขุนพลของมันมิอาจดูแคลนได้ แม้ว่าอาเต๊าจะขึ้นเป็นผู้นำโดยชอบ แต่ความสามารถนั้นข้าพเจ้าเกรงว่า......"
ขงเบ้งลูบเคราหัวเราะ ในความวิตกกังวลเกินเหตุของจูล่ง กล่าวตัดบทว่า
"ท่านออกจะดูแคลน อาเต๊ามากไป เด็กคนนี้ดูไปมีแววฉลาดเฉลียว ภายภาคหน้าต้องเป็นผู้นำที่ดีได้คนหนึ่ง"
จูล่งกล่าวแย้งว่า "เซินเซียง ท่านอย่าได้ดูแต่ภายนอก...." กล่าวถึงตอนนี้นับว่าพลั้งปาก พลันหยุดชะงักลง สร้างความประหลาดใจให้กับขงเบ้งยิ่ง คล้ายดังจูล่งมีอันใดปิดบังไม่ได้บอกกล่าวตน พลางใช้สายตาจับจ้อง รอคอยคำอธิบาย
จู่ลงอึดอัดใจยิ่ง แต่เมื่อถึงขั้นนี้แล้ว ก็คงไม่มีทางอื่นนอกจากบอกความจริง พลางเริ่มกล่าวว่า
"เมื่อครั้งเล่าปี พ่ายแพ้การศึกประชานิยมต่อโจโฉ อาเต๊ายังแบเบาะ ตกอยู่ในวงล้อม ข้าพเจ้าเสี่ยงชีวิตไปช่วยเหลือออกมา ครานั้นคิดว่าอาเต๊าปลอดภัยไร้ตำหนิ ที่ไหนได้ เกรงว่าได้รับความหวาดกลัวต่อโจโฉฝังใจ จนเป็นความผิดปกติทางสมอง"
เรื่องนี้นับว่า สร้างความประหลาดใจให้ขงเบ้งยิ่ง กล่าวถามอย่างตั้งใจ ว่า
"ผิดปกติ ผิดปกติอย่างไร"
จูล่งอธิบายว่า
"หากดูภายนอก อาเต๊าก็เหมือนคนทั่วไป อีกทั้งยังดูเฉลียวฉลาดช่างพูดช่างเจรจา แต่หากอยู่คนเดียวแล้วมักแสดงพฤติกรรมแปลกประหลาด บ้างบางทีก็พร่ำด่าโจโฉอยู่คนเดียว บางครา ก็เขียนกลศึกประชานิยมไว้ตรงบันไดแล้วเดินเหยียบย่ำ จากนั้นก็หัวเราะเย้ยหยัน หรือบ้างบางครั้งก็นำถุงยางมาสวมหัว...."
ขงเบ้งฟังถึงตอนนี้พลันถามแทรกว่า "แล้วถุงยางใช้แล้วหรือไม่"
จูล่งสะดุดเล็กน้อย ขมวดคิ้วอย่างหงุดหงิดใจว่า
"คือ ..จะใช้แล้วหรือไม่ได้ใช้มันไม่ใช่ประเด็น ประเด็นมันอยู่ที่ว่า ไม่มีใครผู้ใดกระทำกัน เซินเซียงท่านเข้าใจข้าพเจ้าหรือไม่"
ขงเบ้ง ร้อง ฮ่อ ฮ่อ พยักหน้ารับ ผายมือเป็นเชิงให้เล่าสืบต่อ
"ต่อมาข้าพเจ้าพบว่า อาเต๊ายิ่งโตขึ้น ยิ่งมีพฤติกรรมสะท้อนให้แลเห็นภายนอก วันๆเอาแต่ขลุกอยู่กับขันทีแก๊งไอติม ..ท่านว่าชายชาติทหารอกสามศอก ยามจับจอกสุราต้องปฏิบัติเยี่ยงไร"
ขงเบ้งตอบว่า
"ชายอกสามศอก ยามยกจอกสุราต้องหนักแน่น นิ้วทั้งห้าต้องประคองจอกสุราอย่างมั่นคง ประดุจกรงเล็บมังกรเกาะกุมไข่มุก"
จู่ลงกล่าวว่า
"มิผิด แต่หากนิ้วก้อยมันเด่ขึ้นมาเล่า"
ขงเบ้งพลันหัวเราะ กล่าวว่า
"ท่านกล่าวกระไร ผู้ที่ยกจอกสุรา แล้วนิยมให้นิ้วก้อยเด่ออกมา ย่อมมีแต่อิสตรี..." อันที่จริง เราเองก็เริ่มสงสัยตั้งแต่ท่าร่างในการประลองลูกหนังยุทธจักรครานั้นแล้ว ไม่แน่ใจว่าจะเชื่อมโยงกับนิ้วก้อยเด่เพียงใด
กล่าวถึงตอนนี้พลันฉุกคิดได้ โพล่งอย่างแตกตื่นว่า "หรืออาเต๊ามันเป็นแต๋ว" อิอิ.. หรืออาเต๊ามันเป็นบัณเฑาะก์
จู่ลงพยักหน้ารับอย่างแช่มช้าแทนคำตอบ
ขงเบ้ง แทบทรุดไหลลงจากเก้าอี้ เรื่องนี้นับว่า ร้ายแรงยิ่ง พลันเงียบงันไปเนิ่นนาน ก่อนกล่าวว่า
"เรื่องนี้ ไม่ทราบว่า ท่านเล่าปี่ ได้รับรายงานแล้วหรือไม่"
"ข้าพเจ้าไม่เคยรายงานขึ้นไป ย่อมไม่ได้รับรายงานเป็นแน่แท้"
ขงเบ้งจึงว่า
"เรื่องนี้เรื่องใหญ่ ทางที่ดีท่านอย่าเพิ่งบอกกล่าวให้ผู้ใดทราบแม้แต่ท่านเล่าปีเอง เพราะอาจไม่เป็นผลดี เพราะไม่ว่าอย่างไรแล้ว เล่าปี่ถึงจะได้รับรายงาน หรือไม่ได้รับรายงาน ก็คงต้องให้อาเต๊าเป็นผู้นำอยู่ดี เนื่องเพราะเป็นผู้สืบสายโดยตรง หากท่านขัดขวางเกรงว่าจะเกิดการแตกแยกในจกก๊ก ไม่เป็นผลดีต่อฝ่ายเรา ส่วนอาเต๊านั้นจะดีจะชั่ว เราก็ต้องประคับประคองไป จะอย่างไรก็คงต้องพึ่งแม่ทัพจูให้เป็นเสาหลักค้ำจุนอย่าได้ทอดทิ้งจกก๊ก หวังว่าท่านคงเห็นตามนี้"
จูล่งสะท้อนใจเล็กน้อย ใจจริงอยากจะกลับบ้านเดิม ที่เขาบรรทัดฐานในเสียงสาน ใช้ชีวิตบั้นปลายทำไร่ไถ่นา แต่เมื่อขงเบ้งเอ่ยปากเช่นนี้ ก็ไม่อาจละเลยไปได้ จึงตกปากรับคำ ครุ่นคิดอยู่ในใจ...
"จกก๊กเรา ต่อจากนี้ จะเป็นอย่างไรก็คงแล้วแต่สวรรค์แล้ว..."
ตอน ขงเบ้งขวางปรองดอง
เมื่อแผ่นดินแบ่งแยกออกเป็นสามก๊ก ศึกสงครามก็ยังไม่ได้ลดหย่อนลงไป ขงเบ้งยังเฝ้ารุกรานวุยก๊กอยู่เป็นเนืองนิตย์ พยายามจะตีฝ่าเข้าทางเขากิสานเสียหลายครั้งโดยมีง้อก๊กให้การสนับสนุน หากแต่ทหารธงแดงของวุยก๊กยังแข็งแกร่งสามารถต้านทานไว้ได้ เมื่อเนินนานไป ภัยจากสงครามส่งผลกระทบเป็นวงกว้าง อาณาประชาราชต่างเดือดร้อนกันถ้วนทั่ว หาความสุขมิได้
เดือนร้อนถึงนักปราชญ์ราชบัณฑิต ต้องคิดหาทางสงบศึกลงเป็นการชั่วคราวเพื่อให้ประชาราชได้มีเวลาว่างเว้นจากภัยสงคราม นักปราชญ์ทั้งหลายจึงร่วมตัวเดินทางไปตามก๊กต่างๆ เพื่อเกลี่ยกล่อมให้เหล่าผู้นำของแต่ละก๊ก ได้เห็นพ้องในการสงบศึก เพื่อประโยชน์ของประชาชน
ในที่นี้วุยก๊ก และง้อก๊ก ต่างเจรจาได้โดยง่าย เนื่องเพราะเห็นความทุกข์ยากของชาวประชาเป็นสิ่งสำคัญ แม้ว่าวุยก๊กยังจดจำความแค้นเมื่อครั้งศึกผ่าแดงที่ต้องเสียไพร่พลไปจำนวนมาก แต่เหตุผลของนักปราชญ์เหล่านั้นก็อยากจะโต้แย้ง จำต้องกล้ำกลืนเลือดรับปากว่าจะสงบศึก ส่วนง้อก๊กไม่มีปัญหาแต่อย่างใด หากแต่มีข้อแม้ว่า วุยก๊กจะต้องไม่รื้อฟื้น เหตุการณ์ 19 เดือน 9 ที่ง้อก๊กตลบหลังโจโฉ บุกยึดไปถึงฮูโต๋ราชธานี
คงมีแต่จกก๊ก ที่ไม่ยอมสงบศึก โดยให้เหตุผลว่า "ไม่อาจอยู่ร่วมโลกกับโจโฉ" เหล่านักปราชญ์ ต้องพากันงุนงง เนื่องเพราะตอนนี้ผู้นำวุยก๊กคือโจยอย นับเป็นรุ่นที่ 3 แล้ว แต่จกก๊กยังคงวนเวียนอยู่กับโจโฉไม่ว่างเว้น นับว่าถูกผีโจโฉตามหลอกตามหลอนจริงๆ
เมื่อจนใจจะเกลี้ยกล่อม ก็ได้แต่ขอลา นำข่าวมารายงานให้หัวหน้านักปราชญ์นามซือหม่าเต็กโช ให้ทราบไว้ เพื่อหาวิธีแก้ไขต่อไป
ซือหม่าเต็กโช เมื่อได้รับทราบ ก็ตกอยู่ในพะวังครุ่นคิด ชั่วก้านธูปหมดไป จึงเอ่ยขึ้นว่า
"หากจกก๊ก ไม่ปรารถนาจะปรองดอง ก็ไม่อาจไปบังคับข่มขืนจิตใจ ขอเพียงแต่เราสามารถให้วุยก๊กปรองดองกับง้อก๊กได้เท่านี้ก็เพียงพอ เพราะถ้าทำได้ดังนี้ จกก๊กที่โดดเดี่ยวเหลือก๊กเดียว ก็ไม่อาจหาญกล้าทำสงครามกับวุยก๊กอีก สันติสุขจะเกิดขึ้นเป็นการชั่วคราว"
บรรดาลูกศิษย์ได้ฟังก็เกิดความสว่างในปัญญา กล่าวชื่นชมว่า
"แม้ชาวประชาบางคน มักกล่าวว่า อาจารย์ซือหม่าพูดจาไม่ค่อยรู้เรื่อง แต่แก่นแท้ของปัญญาแล้ว สมกับที่ได้รับฉายาโซ่ข้อกลางโดยแท้ ข้าพเจ้าจะน้อมไปปฏิบัติ"
ซือหม่าเต็กโช โบกมือให้มันรีบไป เกรงว่าหากมันรั้งอยู่เนินนานกว่านี้ คำกล่าวชมของมันอาจเป็นที่แสลงใจตนเองได้ บรรดานักปราชญ์จึงแยกย้ายไปทำหน้าที่ โดยส่วนหนึ่งไปเกลี่ยกล่อมโจยอยแห่งวุยก๊ก ส่วนง้อก๊ก ซือหม่าเต็กโช ไปด้วยตนเอง เนื่องเพราะ ง้อก๊กไถ่ มารดาของซุนกวน ที่อยู่ยังตำหนักสี่เสาค้ำฟ้า มีความสนิทชิดเชื้อกันอยู่มาก หากสามารถเกลี่ยกล่อมง้อก๊กไถ้ได้ ตัวซุนกวนเองที่คุมกองทัพอยู่ก็ย่อมไม่เป็นปัญหาแต่ประการใด
เมื่อไปถึงง้อก๊ก ซือหม่าเต็กโช ทราบว่า ง้อก๊กไถ้ยังไม่ทิ้งนิสัยกรุ่มกริ่ม หากคิดจะเจรจาให้ราบรื่นคงต้องมีของกำนัลติดมือไปเสียเล็กน้อย ดังนั้นไปซื้อเกี้ยวหลังหนึ่ง พร้อมคัดจ้างชายฉกรรจ์อย่างประณีต 4 คนมาหามเกี้ยว แต่ละคนหน้าตาหล่อเหลา รูปร่างกำยำล่ำสัน จากนั้นให้คนหามเกี้ยวทั้ง 4 นำเกี้ยวไปส่งที่ตำหนักสี่เสาค้ำฟ้า กล่าวกำชับว่าเมื่อส่งเกี้ยวเสร็จแล้วให้รีบกลับมาอย่าได้รั้งอยู่แม้เพียงชั่วยาม
คนทั้ง 4 รับคำ จากนั้นจึงไปส่งเกี้ยวยังตำหนักสี่เสาค้ำฟ้า แจ้งต่อนายประตูว่า ซือหม่าเต็กโช น้อมมอบของกำนัลต่อง้อก๊กไถ้ เมื่อง้อก๊กไถ้ได้เห็นของกำนัล ตาพลันเกิดเป็นประกาย รู้สึกกระชุมกระชวยขึ้นอักโข อันที่จริงตัวเกี้ยวนั้นไม่มีอันใดพิเศษ หากแต่คนหามเกี้ยวทั้ง 4 นั้นน่ารับประทานยิ่ง แต่แล้วต้องผิดหวัง เมื่อคนทั้งสี่ส่งเกี้ยวเสร็จ ก็ขอลากลับไปหาซือหม่าเต็กโช โดยอ้างว่าผู้เป็นนายให้ทำหน้าที่เพียงเท่านี้ แม้ง้อก๊กไถ้จะเลี้ยงน้ำชา คนทั้ง 4 ก็ไม่อยู่รับประทานสักครึ่งคำ ง้อก๊กไถ้รู้สึกคั่งค้างจิตใจยิ่ง จึงรีบส่งคนไปเชิญซือหม่าเต็กโชมาเข้าพบ โดยให้นำเกี้ยวที่ซือหม่าเต็กโชมอบให้มานี้นำกลับไปรับ แต่กำชับว่าให้คนห้ามเกี้ยวทั้ง 4 ของซือหม่าเต็กโช เป็นผู้หามกลับมา
ซือหม่าเต็กโช พอเห็นหัวร่อ กล่าวว่า
"ง้อก๊กไถ้ ต้องอุบายเราแล้ว นี่เรียกว่าล่อให้อยากแล้วจากมา"
จากนั้นก็ขึ้นเกี้ยวให้คนหามทั้ง 4 หามไปยังตำหนักสี่เสาคำฟ้า
ง้อก๊กไถ้เมื่อทราบว่า ซือหม่าเต็กโชมาถึงก็ให้การต้อนรับอย่างดี โดยเฉพาะคนหามเกี้ยว พลางกล่าวถามซือหม่าเต็กโชว่า
"ลมอันใดหอบท่านมาถึงนี่"
ซือหม่าเต็กโชกล่าวว่า
"ลมร้อน ลมสงครามหอบข้าพเจ้ามา"
ง้อก๊กไถ้หัวร่อ แล้วจึงว่า
"ลมร้อน ลมสงครามพัดไปทุกที เหตุไฉนจึงพัดท่านมาที่นี่ได้เล่า"
ซือหม่าเต็กโช ตอบว่า
"เพราะที่นี่มีผู้ดับลมร้อน ลมสงครามลงได้ ข้าพเจ้าถึงได้มา"
ง้อก๊กไถ้เลิกคิ้วอย่างสงสัย กล่าวถามว่า "ท่านหมายถึงผู้ใด"
ซือหม่าเต็กโชกล่าวว่า
"ยามนี้ทอดตาทั่วแผ่นดิน ตอนนี้เห็นมีเพียงท่านเท่านั้น"
ง้อก๊กไถ้ สีหน้าเคร่งเครียดลง มิได้ตอบคำ เหลือบแลดูคนหามเกี้ยวทั้ง 4 ให้นึกเสียดาย หากไม่ฟังคำมันยามนี้เห็นทีมันต้องพากลับไปเป็นแน่แท้ ดังนั้นผายมือเชื้อเชิญ ให้ไปพูดคุยเป็นการภายใน ทั้งยังให้คนไปเรียกโลซกมาเป็นที่ปรึกษา
ซือหม่าเต็กโชใช้เวลาเนินนานกว่าจะสามารถกล่อม ง้อก๊กไถ้ได้ โลซกเองก็ให้การสนับสนุน ทั้งยังอาสาจะเป็นผู้ร่างหนังสือสัญญา และกำหนดวันนัดหมายเอง ซือหม่าเต็กโชปิติยินดียิ่ง จึงขอลาง้อก๊กไถ้ไปแจ้งข่าวให้ทางวุยก๊กได้ทราบ
ขณะเดียวกัน ทางจกก๊กก็ทราบข่าวการไปง้อก๊กของซือหม่าเต็กโช เพื่อเป็นคนกลางสงบศึก ขงเบ้งเดือดเนื้อร้อนใจยิ่ง เพราะถ้าหากวุยก๊กกับง้อก๊ก สามารถปรองดองกันได้ จกก๊กก็จะขาดพลังสนับสนุนในการกำจัดโจโฉและกองทัพธงแดงของวุยก๊ก จึงให้ม้าเจ็กแต่งหนังสือนำไปให้ง้อก๊กไถ้ มีใจความว่า
ด้วยซือหม่าเต็กโช มาเกลี่ยกล่อมให้ท่านปรองดองกับวุยก๊กนั้น เป็นกลลวง เนื่องจากซือหม่าเต็กโช ถูกโจโฉซื้อตัวไปแล้ว หากง้อก๊กลงกลปรองดองเมื่อใด วุยก๊กจะฉวยโอกาส ริบรอนอำนาจง้อก๊ก เข้ากุมกำลังทางทหารจนหมดสิ้น พร้อมทั้งแต่งจดหมายเท็จขึ้นมาอีกหนึ่งฉบับ เป็นข้อความโจโฉติดต่อกับซือหม่าเต็กโช มีใจความมุ่งทำลายง้อก๊ก
ง้อก๊กไถ้เมื่อได้อ่าน พร้อมเห็นหลักฐานกระดาษหนึ่งแผ่นของขงเบ้งก็หลงเชื่อ พลันอุทานดังใจหาย กล่าวกับม้าเจ็กว่า
"เห็นทีคราวนี้ ง้อก๊กต้องย่ำแย่แล้ว โลซกมีความตั้งใจสงบศึกหมายล้างบาป ศึก 19 เดือน 9 ตอนนี้ได้ยกทัพเจรจาออกจากกังตั๋งไปแล้ว เกรงว่าหากมีหนังสือไปตามทัพตอนนี้ โลซกอาจไม่เชื่อฟัง"
ม้าเจ็กแย้มยิ้มกล่าวว่า
"เรื่องนั้นท่านไม่ต้องเป็นห่วง ข้าพเจ้าได้เตรียมการกับท่านขงเบ้งไว้แล้ว ขอเพียงท่านรับปากไม่เอนเอียงไปยังวุยก๊ก แผนการปรองดองครั้งนี้ของวุยก๊กก็ยากจะประสบผลสำเร็จ"
ง้อก๊กไถ้ พลันเขียนหนังสือตอบกลับขงเบ้ง ให้ม้าเจ็กนำไปให้ ยืนยันว่า จะไม่ปรองดองกับวุยก๊กในครั้งนี้ ขงเบ้งเมื่อได้รับหนังสือก็ปีติยินดียิ่ง เร่งรุดนำทัพไปยังที่นัดหมายเจรจา
ในวันนัดหมายเจรจาสงบศึก ที่ศาลาสิบลี้ ทั้งสองทัพวุยก๊กและง้อก๊ก ต่างมากันพร้อมพรรค โดยมีคณะปราชญ์ราชบัณฑิตเป็นสักขีพยาน โดยมีซือหม่าเต็กโชเป็นประธาน ง้อก๊กแสดงความมีไมตรีเป็นเริ่มต้น โดยส่งแม่ทัพโลซก กุนซือผู้วางแผนตลบหลังโจโฉยึดฮูโต๋ ในเหตุการณ์ 19 เดือน 9 ขึ้นกล่าวขอขมาต่อวุยก๊ก เพื่อแสดงความจริงใจ และได้นำเสนอ สัญญาสงบศึกขึ้นหนึ่งฉบับ
ไม่ทันที่จะยืนส่งต่อ ซือหม่าเต็กโช ทหารนายหนึ่งวิ่งกระหืดกระหอบมารายงานว่า พบกองทัพธงเหลืองของม้าเจ็กกำลังโอบล้อมที่นี่ ผู้คนยังไม่ทันหายแตกตื่นสงสัย ทหารอีกนายก็วิ่งเข้ามารายงานว่า ขงเบ้งแห่งจกก๊กยกทัพมาขอเข้าเสวนาเจรจาในครั้งนี้ด้วย
ซือหม่าเต็กโช ครุ่นคิดได้ในบัดดล การนี้ขงเบ้งย่อมไม่ได้มาดี ต้องมีแผนเป็นแน่แท้ แต่หากปฏิเสธไม่เชื้อเชิญเข้ามา ย่อมเป็นที่ครหาได้ ดังนั้นสั่งให้เชิญเข้ามา
ขงเบ้งเมื่อมาถึงพลันร้องทัดทานโลซกว่า
"ช้าก่อน อย่าเพิ่งยื่น"
จากนั้นรีบลงจากหลังม้า ไปฉุดโลซกไว้ กล่าวตำหนิว่า
"ท่านเองเคยเป็นถึงแม่ทัพใหญ่แห่งง้อก๊ก เคยออกอุบายทำลายโจโฉ ในศึก 19 เดือน 9 นับเป็นวีรชนผู้หนึ่ง ไฉนวันนี้ จึงคิดเป็นไมตรีกับวุยก๊กเสียเล่า"
โลซกจึงว่า
"ครั้งนั้นเราทำผิดมหันต์ ศึก 19 เดือน 9 มิได้ทำให้สงครามจบลงโดยเร็วอย่างที่คาดคิด กลับเป็นตัวทำให้สงครามยืดเยื้อจนบัดนี้ยังหาที่สิ้นสุดมิได้ ดังนั้นจึงคิดแก้ไข ทำสิ่งที่ควรเพื่ออาณาประชาราช"
"เฮอะ.. ท่านกล่าวได้สะดวกดายยิ่ง คิดหรือจะมีผู้คนเชื่อถือ"
โลซกแย้งด้วยโทสะว่า
"ผู้คนเชื่อถือหรือไม่ นั้นไม่สำคัญ สำคัญที่ว่า สิ่งที่ทำลงไปนั้นเกิดประโยชน์มากน้อยเพียงใด"
กล่าวจบพลันผลักขงเบ้งให้หลีกทาง ขงเบ้งเห็นโลซกไม่ฟังคำ จึงชูกระดาษหนึ่งแผ่น สั่งขุนพลฝ่ายตนว่า
"ด้วยง้อก๊กไถ้ มีคำสั่ง หากโลซกไม่ฟังคำทัดทาน ให้จับประหารได้ทันที"
สิ้นเสียงขงเบ้ง โลซกถึงกับชะงักงัน บรรดาขุนพลจกก๊ก กรูเข้าจับตัวโลซกในบัดดล ส่วนทหารที่มากับโลซก ก็ไม่กล้าช่วยเหลือเพราะ ข้งเบ้งอ้างคำสั่ง ง้อก๊กไถ้ ยามนั้น เตงงายขุนพลธงแดง เห็นเป็นที่ผิดปกติ ด้วยโลซกเป็นขุนพลเก่าแก่คู่บารมีง้อก๊กไถ้มาช้านาน เคยห้ำหั่นกันเสียหลายหน ต่อให้ทำผิดเยี่ยงไร ง้อก๊กไถ้ย่อมไม่อาจมีคำสั่งประหารทันทีเป็นแน่
ดังนั้นรีบลุกขึ้นทัดทานว่า
"ช้าก่อน คำสั่งง้อก๊กไถ้ ในกระดาษบนมือท่าน ให้พวกเราได้อ่านกันได้หรือไม่"
ขงเบ้งสะดุดเล็กน้อย เหลือบตาดูผู้กล่าว เห็นเป็นอ้ายเตงงาย ขุนพลธงแดงของวุยก๊ก ก็แค่นหัวร่อ กล่าวว่า
"นึกว่าผู้ใดยื่นมือช่วยเหลือโลซก ที่แท้ก็อ้ายเตงงาย คนเผาบ้านเผาเมือง"
เตงงายกลับมิได้โกรธเคือง แย้มยิ้มอย่างใจเย็น กล่าวทั้งหัวร่อว่า
"ขงเบ้งเอ๋ย ขงเบ้ง ยิ่งแก่ยิ่งเลอะเลือน ท่านใช้วาทะกรรมเผาบ้านเผาเมืองโจมตีเรามาช้านาน จนบัดนี้หาคนเชื่อท่านได้หรือไม่ ในศึกเขากิสาน ครั้งก่อน ท่านก็ใช้วาทะกรรมนี้ โจมตีเรากับวุยก๊ก ทั้งยังท้าท้ายว่า หากพวกวุยก๊กได้ชัยชนะ ท่านจะยอมมุดลงรู ยกบ้านเมืองให้พวกเผาบ้านเผาเมืองไป แต่สุดท้ายท่านก็พ่ายแพ้ยับเยิน กับคำกล่าวที่ว่า จะยอมมุดลงรู จนบัดนี้ยังหารูลงไม่ได้อีกหรือ"
ขงเบ้ง ฟังเตงงาย ยอกย้อนจนหนวดคิ้วกระตุก ยามกะทันหันยังหาคำโต้แย้งมิได้ เตียวยอดเห็นดังนั้นรีบเบี่ยงเบนว่า
"เฮอะ..ท่านขงเบ้ง เป็นถึงมหาอุปราชของจกก๊ก อย่าได้ไปเสวนากับอ้ายคนชั้นต่ำ อย่างเตงงายเลย คนผู้นี้เมื่อครั้งศึก 19 เดือน 9 จงเกลียดจงชัง โลซกเป็นอย่างยิ่ง แต่บัดนี้กลับยืนมือเขาช่วยเหลือ คงมีผลประโยชน์ทับซ้อนกับโลซกเป็นแน่ ถึงกับยอมเนรคุณกองทัพธงแดงของตนเอง"
เตงงายได้ฟังก็หัวร่อ กล่าวว่า
"อ้ายนี้หรือ คือ เตียวยอด ผู้เคยติดคณะงิ้ว ไปแสดงเรื่อง คณิกา 5 บาป กับคำกล่าวหาที่ว่า เรามีผลประโยชน์ทับซ้อนกับโลซก จนยอมเนรคุณกองทัพธงแดง กล่าวไปก็ไร้น้ำหนัก ไม่ต่างจากกระดาษแผ่นเดียวในมือของขงเบ้ง การที่เราทัดทานช่วยเหลือโลซก เพราะเห็นแก่คุณธรรม คนทำผิดแล้วคิดแก้ไขล้วนน่าชื่นชม แต่กับคนที่ทำผิดแล้วไม่คิดแก้ไข ทั้งยังทำผิดซ้ำแล้วซ้ำอีก ต่อให้ไปบีบน้ำตาร่ำไห้เพียงใดก็ไร้ผู้คนเหลียวแล เฮอะ...หากจะกล่าวถึงความเนรคุณนั้น พวกท่านต่างหากที่ชัดแจ้ง โลซกผู้นี้ เมื่อครั้งออกอุบายศึก 19 เดือน 9 ก็นำพาเล่าปี ไปเป็นพันธมิตรกับซุนกวน บุกทำลายวุยก๊กเราจนย่อยยับ จากนั้นเล่าปีจึงยึดได้เกงจิ๋ว และเสฉวน สามารถตั้งเป็นจกก๊กได้ทุกวันนี้ ก็ไม่ใช่โลซกผู้นี้หรอกหรือ ............เอ๊า...ไหว้พี่เขาเสียสิ"
เตียวยอดถึงกับอ้าปากไม่ออก ขยับกรามมิได้ รู้สึกเจ็บแค้นใจยิ่ง ขงเบ้งเห็นว่าหากยังถกเถียงต่อไปจะเป็นที่เพลี่ยงพล้ำ ดังนั้นยังยืนกรานคำสั่งให้จับโลซกประหาร โลซกนึกสงสัยใจตามเตงงาย ขอดูคำสั่งประหารตนของง้อก๊กไถ้ในมือขงเบ้ง ขงเบ้งมิยินยอมให้ดู ซุกเก็บไว้ในอกเสื้อ
โลซกจึงทราบได้ว่า ขงเบ้งแอบอ้างคำสั่งประหารตน ดังนั้นมิฟังคำอีก ดึงดันจะยื่นสัญญาสงบศึกให้จงได้ แม่ทัพจกก๊กจึงเข้ารายล้อมโลซกไว้ สร้างความไม่พอใจให้กับแม่ทัพฝ่ายวุยก๊ก กับเหล่านักปราชญ์ราชบัณฑิตอย่างยิ่ง
พลันบังเกิดความวุ่นวายเกิดขึ้น แม่ทัพวุยก๊ก ตรงเข้าไปช่วยโลซกออกจากวงล้อม บรรดาแม่ทัพจกก๊กก็มิพอใจ จะตามไปแย่งตัวกลับมา จนเกิดการกระทบกระทั้งกัน จูกัดเก๋อน้องชายขงเบ้งตรงเข้าไปบีบคอ เตียวเจ ฝ่ายวุยก๊ก เตียวคับขุนพลจอมถีบต้องไปช่วยเอาตัวออกมา
ซือหม่าเต็กโชเห็นเป็นที่วุ่นวายเหลือคณานับ ต้องลุกจากเก้าอี้นำคณะนักปราชญ์ไปห้ามปราม ทั้ง 2 ฝ่ายนับว่ายังเกรงใจนักปราชญ์อยู่มาก เพราะหากพลั้งมือทำร้ายนักปราชญ์ประชาชนย่อมไม่พอใจ ดังนั้นจึงยอมแยกออกจากกัน
ซือหม่าเต็กโชเหนื่อยหอบมองด้วยสายตาตำหนิไปยังทั้งสองฝ่าย คล้ายดังบอกว่า ต่อหน้านักปราชญ์ราชบัณฑิต พวกท่านยังกล้ากระทำตนเยี่ยงนี้ แล้วประชาชนผู้ใดจะเคารพรักศรัทธา
ทันใดนั้นมีผู้หนึ่งผุดร้องขึ้นว่า
"กรราบเรีรรยนท่าน ซือหม่า ที่เคารพ มีผู้แอบดูภาพปลุกกำหนัด"
ความวัวยังไม่ทันหาย ความควายก็เข้ามาแทรก ซือหม่าเต็กโช ถึงกับวุ่นวายในหัวสมอง ร้องสั่งว่า
"มันผู้ใดช่างราคะ ไม่รู้จักกาลเทศะ ให้ลากมันออกไป"
สิ้นเสียงคำสั่ง บรรดาแม่ทัพจกก๊ก มีสีหน้าเย้ยหยัน จับกลุ่มวิจารณ์ว่า
"เรื่องต่ำช้าเช่นนี้ เห็นทีมีแต่แม่ทัพวุยก๊กเท่านั้นที่กล้ากระทำ"
ไหนเลยคาดคิด ผู้ที่ผุดร้อง ชี้นิ้วไปยังบุตรชายของจูล่ง วีรบุรุษแห่งยอดเขาบรรทัด จูล่งหน้าหดเหลือ 2 นิ้ว นึกละอายใจยิ่งนัก สบถ ด่าในใจว่า "อ้ายเด็กเวร ราคะไม่เลือกที่"
ขณะนั้นซือหม่าเต็กโชจะกลับไปนั่งที่ เพื่อสงบสติอารมณ์ ไม่คาดว่าเก้าอี้กลับหายไปอีก ครั้งนี้อารมณ์พลันระเบิดประทุ ร้องถามลั่นว่า
"ใครขโมยเก้าอี้ กูกกกก"
มีผู้ผุดร้องขึ้นอีกว่า
"กราาบเรีรรยน ท่านซือหม่าที่เคารพ แม่นางจกหยงของจกก๊ก ลากเก้าอี้ท่านไปโน้นแล้ว"
ซือหม่าเต็กโชถึงกับหลุดอุทานอย่างหัวเสีย
"อุบ๊ะ _ _ ลาก" ปล. ตรงที่ขีดละไว้ให้เติมเองครับ
การปรองดองครั้งนี้จึงล้มเหลวไม่เป็นท่า ท่านซือหม่าจึงเลิกการเจรจา เพราะไร้เก้าอี้นั่ง แผนการของขงเบ้ง จึงสัมฤทธิ์ผลในการขวางการปรองดอง
Comment...
อันตราย!!! คุณ"อ่านข้อความยาวๆ"ได้หรือไม่????? คุณพิสูจน์ได้...
การที่เรียกว่า"สมาธิสั้น"นั้นเป็นการเรียกที่ไม่ค่อยถูกต้องนัก จริงๆแล้วต้องเรียกว่า"สมาธิบกพร่อง" ทั้งนี้เพราะบางคนที่เป็น ไม่ได้มีปัญหาตรงที่มีสมาธิในช่วงสั้นๆ แต่มีปัญหาในเรื่องของ การควบคุมสมาธิและการปรับเปลี่ยนสมาธิ (Selective Attention) มากกว่า
By Thanawut: ชีวิตหมอที่ไม่ได้ไปอเมริกา By: kimeng suk คลิกที่นี่...
By Thanawut: แนะนำคุณพ่อคุณแม่มือใหม่... ศาสตร์เลี้ยงลูกให้ได้อย่างใจ... คลิกที่นี่...
By Thanawut: For...Friends&Friends
E-Bookโหลดทั้ง2part แตกไฟล์คลิกขวาpart1 คลิกซ้ายExtract Here Part1 & Part2
By Thanawut: เป็นพ่อเป็นแม่คน...เรื่องนี้ให้เก็บเอาไปคิดเป็นการบ้าน... คลิกที่นี่...
By Thanawut: ชีวิตต้องสู้...Jimbo นักธุรกิจใหญ่ที่ชะตาผกผัน...มาเป็นคนขายปลาทู...สู่คนขับแท็กซี่...ลีมูซีน และอีกหลายๆๆ... คลิกที่นี่...
By Thanawut: ลองอ่านๆดู ผมว่ามันฮามาก... ชีวิตท.ทหารเกณฑ์...รันทดยิ่งกว่านวนิยายน้ำเน่าอีกว่ะ!... คลิกที่นี่...
By Thanawut: โฉมฉาย อรุณฉาน...สาวสวยร้องเพลงไพเราะที่ผมขอเขียนถึงสักครั้ง คลิกที่นี่...
By Thanawut: การเมืองเร่อะ...อย่า"อิน"ให้มากนัก เพลาๆกันไว้มั่ง คลิกที่นี่...
By Thanawut: ห้องนอนใครเหม็นอับมาทางนี้... คลิกที่นี่...